วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Dacia Duster ตัวลุยจากหลังม่านเหล็ก

Dacia Duster ตัวลุยจากหลังม่านเหล็ก ถ้าเป็นเมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้ว ชื่อของดาเซียอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคนทั่วโลกเท่าไร เรียกว่าถ้าไม่ใช่ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกแล้ว ถ้าได้ยินใครเอ่ยชื่อนี้ออกมาแล้ว เป็นต้องร้องถามให้บอกชื่อซ้ำอีกครั้งอย่างแน่นอน

แต่สำหรับปัจจุบัน นับตั้งแต่การเปิดตลาดรถยนต์ราคาประหยัดด้วยรุ่นโลแกน แบรนด์รถยนต์จากโรมาเนียภายใต้เจ้าของใหม่อย่างเรโนลต์แห่งฝรั่งเศสกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่เฉพาะในตลาดหลักที่เป็นตลาดรถยนต์เกิดใหม่อย่างอินเดียหรือบราซิลเท่านั้น แม้แต่ในตลาดยุโรปตะวันตกเองก็ให้การยอมรับรถยนต์จากค่ายดาเซียด้วยเช่นกัน
นอกจากการรุกตลาดรถยนต์แล้ว ทางดาเซียยังส่งผลผลิตใหม่ล่าสุดออกลุยตลาดเอสยูวีด้วยเช่นกัน กับรุ่นดัสเตอร์ ซึ่งเป็นเอสยูวีขนาดซับคอมแพ็กต์ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานเดียวกับเก๋งรุ่นโลแกน และซานเดโร โดยทางดาเซียพร้อมส่งขายในตลาดแล้วหลังจากที่เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ดาเซียเป็นแบรนด์รถยนต์ของโรมาเนียที่ถูกก่อตั้งในปี 1966 จากความช่วยเหลือของเรโนลต์ ก่อนที่เรโนลต์จะเข้าเทคโอเวอร์กิจการมาอยู่ในเครือเมื่อปี 1999 เพื่อใช้แบรนด์นี้เจาะตลาดรถยนต์ราคาประหยัดในประเทสกำลังพัฒนา เช่น ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, ละตินอเมริกา รวมถึงเอเชีย ซึ่งหลังจากทำตลาดไปได้พักหนึ่งปรากฎว่ากระแสความต้องการรถยนต์ราคาประหยัดมีขึ้นมาก ทำให้เรโนลต์จัดการนำดาเซียเข้ามาเปิดตลาดยุโรปตะวันตกอย่างเป็นทางการ
สำหรับดัสเตอร์ถือเป็นทางเลือกที่ 3 ต่อจากโลแกน เก๋ง 4 ประตู และซานเดโร แฮทช์แบ็ก 5 ประตู ตัวรถได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกโดยทางทีมออกแบบเรโนลต์ในยุโรป และถูกบนพื้นตัวถังในรหัส BO ร่วมกับรถยนต์รุ่นซานเดโร ขณะที่ตัวถังทรง 5 ประตูมีความยาว 4,310 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,630 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,673 มิลลิเมตร
4 ทางเลือกของการขับเคลื่อนโดยอยู่บนพื้นฐานของขุมพลังบล็อก 4 สูบเรียงแบ่งเป็นเบนซินเพียงรุ่นเดียว คือ 1,600 ซีซี 105 แรงม้า ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.1 กก.-ม. ที่ 3,750 รอบ/นาที ส่วนที่เหลืออีก 3 รุ่นเป็นเทอร์โบดีเซลที่มีความจุ 1,500 ซีซี แต่มีให้เลือก 3 ระดับกำลังขับเคลื่อน คือ 86 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.4 กก.-ม. ที่ 1,900 รอบ/นาที ตามด้วย 107 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที และ 110 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที
งานนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวลุยแบบสร้างภาพ หรือแค่ยกสูงด้วยตัวถังในสไตล์เอสยูวีเหมือนกับบางรุ่น แต่ทางดาเซียนำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4WD LOCK มาใช้ โดยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนี้มีการทำงานคล้ายกับที่ใช้อยู่ในนิสัน X-TRIAL คือ เมื่อขับอยู่บนเส้นทางปกติ จะเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นหลักเพื่อความประหยัดน้ำมัน และจะเปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติเมื่อมีการตรวจจับว่าสภาพเส้นทางมีความเปียกลื่น และมีปุ่มกดเพื่อเลือกระบบ 4WD LOCK สามารถล็อกการกระจายแรงบิดแบบ 50:50% ระหว่างล้อหน้าและหลังได้ หากต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการลุยอีกระดับ
แต่ถ้าไม่สนใจระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ชอบขับรถยนต์ตัวถังสไตล์แบบนี้ ทางดาเซียก็มีรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเพียงอย่างเดียวเตรียมเอาไว้สนองตอบความต้องการด้วย
ยุโรปจะเป็นตลาดแรกที่ได้สัมผัส ซึ่งทางดาเซียจะส่งขายด้วยราคาเริ่มต้น 11,900 ยูโร หรือ 535,000 บาท จากนั้นในปีหน้าจึงจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดแห่งอื่นๆ ทั่วโลก โดยเน้นไปที่อินเดีย และบราซิลซึ่งถือเป็นตลาดหลักของรถยนต์แบรนด์นี้

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์