วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Honda Odyssey : ความอเนกประสงค์ใหม่เพื่ออเมริกาเหนือ


Honda Odyssey : ความอเนกประสงค์ใหม่เพื่ออเมริกาเหนือ
สำหรับแฟนๆ ของฮอนด้า โอดิสซีส์ในบ้านเราอย่าเพิ่งตกใจว่ารถยนต์อเนกประสงค์ หรือ MPV ที่ตัวเองกำลังขับอยู่จะถึงเวลาของการเปลี่ยนโฉมหรือโมเดลเชนจ์แล้ว เพราะที่เห็นอยู่นี้แม้ว่าจะใช้ชื่อโอดิสซีส์เหมือนกันและเป็นโมเดลปี 2011 แต่ทว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตลาดแห่งอื่นเลย นอกจากอเมริกาเหนือ

มาถึงตรงนี้หลายความเห็นอาจจะแย้งออกมาว่าถ้าไม่เกี่ยวกับเมืองไทยแล้วจะเอามาลงให้รับทราบกันทำไม คงต้องขอชี้แจงอย่างแรกว่า นอกจากข่าวรถในไทยแล้ว ไม่คิดจะรับทราบความเคลื่อน ไหวในตลาดโลกกันบ้างเลยหรือ เผื่อวันหน้าวันหลังจะรถที่ทุกคนมองว่าไกลตัวอาจจะกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวก็ได้

และอีกข้อคือ จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของข้อมูลผิดๆ โดยเฉพาะ Forward Mail ที่มีให้เห็นเป็นประจำ เหมือนกับกรณีของซีวิครุ่นปัจจุบันที่มีหลายเวอร์ชันหลายรูปลักษณ์ เพื่อแยกขายในตลาดแต่ละภูมิภาค และถูกนำมาส่งเป็น Forward Mail เป็นข้อมูลผิดๆ ในโลกของไซเบอร์

จริงอยู่ที่โอดิสซีส์ ฐานลูกค้ามีจำนวนไม่เยอะเท่ากับซีวิค แต่ของอย่างนี้รู้ไว้ ก็ดีกว่าไม่รู้ไม่ใช่หรือ

กลับมาที่ตัวรถกันต่อ สำหรับโอดิสซีส์ที่เห็นอยู่นี้เป็นเวอร์ชันอเมริกาเหนือ ที่มีการออกแบบรูปลักษณ์-ยนอกใหม่หมดเพื่อทดแทนรุ่นเดิมที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2005 โดยตัวรถได้รับการสร้างสรรค์สไตล์มาจากต้นแบบชื่อเดียวกันที่เปิดตัวในงานชิคาโก้ มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

สำหรับรายละเอียดทางวิศวกรรมของตัวรถยังไม่เปิดเผยนอกจากบอกเพียงเล็กน้อยว่า ตัวรถมีแนวเส้นหลังคาที่ลาดเทลงทางด้านหลัง และทำให้ความสูงของตัวรถลดลงอีก 1.6 นิ้วเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่แล้ว และมีความกว้างของช่วงล้อหน้า และหลังเพิ่มขึ้นอีก 1.4 นิ้ว ส่วนเครื่องยนต์ก็น่าจะเริ่มต้นกับขนาดวี6 เหมือนกับที่ผ่านๆ มา

ในเรื่องของการแยกส่วนทำตลาด อันนี้ต้องอธิบายให้รับทราบกันก่อนว่า โอดิสซีส์เป็น MPV ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับฮอนด้า แอคคอร์ด และเปิดตัวรุ่นแรกในปี 1995 ซึ่งในตลาดญี่ปุ่น บ้านเรา และสหรัฐอเมริกา รวมถึงแห่งอื่นๆ ของโลกใช้ชื่อโอดิสซีส์ในการทำตลาด ขณะที่ยุโรปเปลี่ยนมาเป็นชัทเทิล (Shuttle)
พอมาถึงรุ่นที่ 2 ฮอนด้าต้องการตอบสนองความต้องการของตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีลูกค้าจำนวนมาก และมีความต้องการที่เป็นเอกเทศ ก็เลยแยกการพัฒนาโอดิสซีส์มาเป็นเวอร์ชันอเมริกาเหนือต่างหาก ขยายขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้นทุกมิติและใช้เครื่องยนต์บล็อกใหญ่อย่างวี6 ขณะที่โอดิสซีส์เวอร์ชันญี่ปุ่น และตลาดโลกเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง และในเวอร์ชันที่ 2 ของโอดิสซีส์ทางฮอนด้าก็ส่งกลับไปขายในญี่ปุ่นด้วย โดยเปลี่ยนชื่อมาเป็นลาเกรท (Lagreat) และนับจากนั้น ฮอนด้าก็แยกพัฒนาโอดิสซีส์ออกเป็น 2 เวอร์ชัน
การเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาจะมีขึ้นช่วงปลายปีนี้ และมีข่าวว่าฮอนด้าจะนำเข้าไปขายในจีนด้วย ส่วนจะมีการแตกออกมาเป็นรุ่นพวงมาลัยขวาเวอร์ชัน JDM ที่ทำตลาดญี่ปุ่นเหมือนกับลาเกรทหรือไม่นั้น...ยังไม่มีคำตอบออกมา

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

“แจ๊ซ”ปล่อยตัวแต่ง“Active Plus” เพิ่ม 4.95 หมื่นบาท


“แจ๊ซ”ปล่อยตัวแต่ง“Active Plus” เพิ่ม 4.95 หมื่นบาท
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ปล่อยทีเด็ด แจ๊ซ “Active Plus” ตกแต่งพิเศษผลิตจำนวนจำกัด โดยนำเข้าพาร์ทจากประเทศญี่ปุ่น แบ่งสองรุ่นย่อย V กับ V (SRS) อัพราคาขึ้นจากรุ่นปกติ 4.95 หมื่นบาท

แจ๊ซ “Active Plus” ยังคงสมรรถนะของเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 120 แรงม้า มีให้เลือกเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งรอบคันแบบสปอร์ต นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยกันชนหน้า เสริมไฟตัดหมอก ขณะที่กันชนหลังดีไซน์ใหม่

โฉบเฉี่ยวกับกระจังหน้า และสเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์หลัง รวมถึงล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วลายใหม่ พร้อมป้ายสัญลักษณ์ “Active Plus” นอกจากนี้ยังเพิ่มออปชันอำนวยความสะดวกอย่างเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง 4 จุดอีกด้วย

ฮอนด้า แจ๊ซ “Active Plus” มี 3 สี คือ ขาวทาฟเฟต้า สีเหลืองเฮลิออส (มุก) และสีฟ้าเซรูเลียน (เมทัลลิก) ใน 2 รุ่นย่อย V ราคา 679,500 บาท และรุ่น V (SRS) ที่เสริมถุงลมนิรภัยคู่หน้าและเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ ราคา699,500 บาท โดยฮอนด้าแจ้งว่า จะผลิตจำกัดแต่ไม่ได้ระบุจำนวนกี่คัน

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เปิดราคา Honda Freed ใหม่ รถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก 7 ที่นั่ง เริ่มต้น 8.945 แสน ท็อปสุด 1.074 ล้านบาท


เปิดราคา Honda Freed ใหม่ รถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก 7 ที่นั่ง เริ่มต้น 8.945 แสน ท็อปสุด 1.074 ล้านบาท
หลังจากที่ได้เคยเกริ่นมานานพอสมควรว่า Honda จะนำ Freed มาจำหน่ายในประเทศไทยโดยการนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ล่าสุดวันนี้ Honda Automobile (Thailand) ได้เปิดตัว Honda Freed รถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก 7 ที่นั่ง หรือ Compact MPV ที่ใช้ platform ร่วมกับ Honda Jazz และ Honda City โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 118 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ รองรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ถึงระดับ E20 ซึ่งแม้ว่าจะเป็นรถขนาดเล็กแต่ด้วยการออกแบบของ Honda ทำให้รถคันนี้มีพื้นที่ภายในกว้างขวางทีเดียว ด้วยมิติความยาว 4,315 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 มิลลิเมตร และสูง 1,735 มิลลิเมตร โดยมีฐานล้อยาว 2,740 มิลลิเมตร

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ มีการใช้ประตูเลื่อนอัตโนมัติทั้งซ้ายและขวา โดยสามารถเปิดได้กว้าง 600 มิลลิเมตร ทำให้การเข้าออกจากรถเป็นไปได้โดยง่าย ส่วนระบบกันสะเทือนหน้าอิสระเป็นแบบ McPherson Strut ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Torsion Beam ระบบห้ามล้อหรือเบรคด้านหน้าเป็น Disk Brake ส่วนด้านหลังเป็น Drum Brake พร้อมระบบป้องกันการล็อคล้อ ABS มีระบบกระจายแรงเบรค EBD และเสริมแรงเบรก BA ที่เป็นมาตรฐานสำหรับทุกรุ่น
ส่วนราคาของ Honda Freed มีดังนี้ครับ

Honda Freed S (ประตูเปิดปิดแบบ Manual) 894,500 บาท
Honda Freed E (ประตูไฟฟ้าเปิดปิดอัตโนมัติ) 974,000 บาท
Honda Freed E Sport 1,014,500 บาท
Honda Freed E Navi Sport 1,074,500 บาท ซึ่งรุ่นนี้มี option เป็นเครื่องเล่น DVD กล้องมองหลัง
โดยมีให้เลือก 4 สีคือ สีเงิน อลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) สีเทาโพลิชเมทัล (เมทัลลิก) สีดำไนท์ฮอว์ก (มุก) และสีขาวบริลเลียนท์ (มุก) ครับ

ที่มา: Honda ประเทศไทย,autospinn.com

“มาสด้า2 เกียร์กระปุก”ออปชันเพียบ เติมเต็มอรรถรส

“มาสด้า2 เกียร์กระปุก”ออปชันเพียบ เติมเต็มอรรถรส คล้อยหลังการเปิดตัว “มาสด้า 2 ซีดาน” พร้อมนำเสนอบททดสอบในรุ่นเกียร์อัตโนมัติไปในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถึงวันนี้“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” มีโอกาสได้สัมผัสเก๋งแฮทซ์แบ็กร้อนแรงแห่งยุคอีกครั้ง กับเวอร์ชันเกียร์ธรรมดา

รุ่น Groove เกียร์ธรรมดา ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากับราคา 5.35 แสนบาท ซึ่งถูกที่สุดในไลน์ของมาสด้า 2 แน่นอนว่าคุณต้องละทิ้งความสบาย หรือถ้าขับในเมืองต้องยอมรับการเมื่อย(ขา)เหนื่อย(ใจ) แต่กระนั้นก็มีหลายคนต้องการความสนุกมันเร้าใจ อันหาไม่ได้จากเกียร์อัตโนมัติ ยิ่งบางพวกมองเลยไปถึงขั้นกว่าของการประหยัดน้ำมัน
หลากหลายประเด็นแล้วแต่จะเลือก ซึ่งค่ายรถเขานำเสนอเป็นรุ่นย่อย ต่างออปชัน ต่างราคา ดังนั้นคุณต้องตั้งคำถามและตอบโจทย์ความต้องการของตนเองให้ชัด ก่อนเตรียมเอกสารยื่นไฟแนนซ์ หรือถอยเงินสดออกมาจากธนาคาร

...มาสด้า 2 แบ่งเป็น4 รุ่นย่อย โดยรุ่นเริ่มต้นGroove เกียร์ธรรมดา ของตัวถังซีดานและแฮทซ์แบ็ก ราคาเท่ากัน (5.35 แสนบาท)แต่อีก 3 รุ่นที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ Groove Spirit S Maxx ตัวถังซีดานจะถูกกว่าตั้งแต่ 6,000 - 25,000 บาท

แน่นอนว่ารุ่นเกียร์ธรรมดา ซึ่งเป็นรุ่นที่ออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย จัดมาให้น้อยที่สุดในไลน์ แต่จะว่าไปมันก็เพียงพอกับความต้องการใช้จริง และส่วนตัวคิดว่ามากกว่าความคาดหมายเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมนิรภัยด้านคนขับ เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ไฟเบรกดวงที่สาม กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า (แต่ไม่พับไฟฟ้า) เบาะนั่งหลังปรับ 60:40 เชื่อมต่อกับที่เก็บสัมภาระด้านท้าย รวมถึงเครื่องเล่นวิทยุ CD /MP3 1 แผ่น พร้อมช่องต่อ AUX กับอุปกรณ์พกพาต่างๆ

....หาไม่ค่อยได้นะครับ ที่รถยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งจะอัดออปชันในรุ่นล่างสุดเพียบพร้อมขนาดนี้

เมื่อประจำการหลังพวงมาลัย ต้องบอกว่าเบาะผ้าชุดนี้นั่งสบายกำลังดี ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะยังโปร่งสูง แต่จะติดตรงช่วงขาแคบ แม้จะถอยเบาะนั่งไปจนพอดี หรือปรับ(โยก)กดลงมาต่ำสุดแล้วก็ตาม ยิ่งต้องคอยเหยียบคลัทซ์บ่อยๆ อาจขัดแข้งติดขานิดหน่อย

สำหรับพื้นที่ผู้โดยสารด้านหลังถือว่าจำกัด ช่วงขาหรือเลครูมเหลือน้อย ผู้ใหญ่นั่ง3 คนถือว่าเต็มกลืน ขณะเดียวกันการเข้าออกประตูหลังอาจจะบีบไปนิด ถ้าเทียบกับ ฮอนด้า ซิตี้ หรือ โตโยต้า วีออส
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิสสันอ้อนรัฐลดภาษีอีโคคาร์3%

นิสสันอ้อนรัฐลดภาษีอีโคคาร์3% "นิสสัน" ร่อนหนังสืออ้อนรัฐ พิจารณาปรับลดภาษีอีโคคาร์อีกรอบ หลัง ครม.มีมติพิจารณาให้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันอี 85 ได้ปรับลดภาษีสรรพสามิตลงอีก 3% ชี้ไม่แฟร์เลือกปฏิบัติ ยันอีโคคาร์ลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ควรมีแคปห่างมากกว่านี้ เชื่อราคาจะถูกลงอีก

นายประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีนโยบายอนุมัติสนับสนุนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใช้น้ำมัน อี 85 ลดลงจากอัตราเดิม 3% ซึ่งบริษัทเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อรถยนต์อีโคคาร์ในอนาคต

เนื่องจากปัจจุบันรถยนต์อีโคคาร์เสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 17% นั้น ขณะนี้ นิสสันได้ทำเรื่องยื่นข้อเสนอไปยังรัฐบาล ให้มีการกลับมาพิจารณาภาษีอีโคคาร์ลง อีก 3% อีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมทางภาษี และไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันจนเกินไป เนื่องจากโครงการอีโคคาร์นั้น ถือเป็นโครงการที่จะต้องมีการลงทุนขั้นต่ำ 5,000 ล้านบาท ตามที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นจึงอยากจะให้รัฐบาลพิจารณาอีกครั้ง

นอกจากนี้ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการก็น่าจะมีการยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวไปยังรัฐบาลเช่น เดียวกัน และในเร็ว ๆ นี้คาดว่าจะมีการประชุมหารือและรวบรวมความคิดเห็นระหว่างผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการขอลดภาษีสรรพสามิตอีโคคาร์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

"สำหรับภาษีอีโคคาร์เมื่อเทียบกับ ภาษีรถยนต์อี 85 นั้น ถ้าจะมองในแง่ของการลงทุนถือว่าไม่แฟร์ เนื่องจากรถอีโคคาร์ มีการกำหนดเงื่อนไขการลงทุนไว้อย่างชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากรถอี 85 ซึ่งหากเราจะมองในแง่โครงสร้างภาษีถือว่าไม่ยุติธรรมและรัฐบาลควรจะเกลี่ย ให้เหมาะสม ถ้าภาษีต่ำลงจริง ราคารถก็จะถูกลงอีก" นายประพัฒน์กล่าว

สำหรับรถยนต์นิสสัน มาร์ช หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมียอดจองกว่า 15,000 คัน และยอดค้างส่งมอบกว่า 11,000 คัน โดยลูกค้าจะต้องใช้เวลาในการรอรับรถอย่างน้อย 5 เดือน ซึ่งบริษัทกำลังเร่งหาวิธีการจัดการกับปัญหาเรื่องกำลังการผลิต แต่วันนี้คงจะยังไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก ประชาชาตฺธุรกิจ

All-New Vauxhall/Opel Meriva พร้อมสารพัดระบบ FLEX เล็งเขย่า Jazz, Venga และ Picasso

All-New Vauxhall/Opel Meriva พร้อมสารพัดระบบ FLEX เล็งเขย่า Jazz, Venga และ Picasso
General Motors UK ได้เผยโฉม All-New Vauxhall Meriva หรือ Opel Meriva รถ Mini MPV รุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยี FlexDoor ของ GM ตามที่ได้เคยแสดงอวดสายตาประชาชีมาแล้วในฐานะรถแนวคิด Meriva เมื่อปี 2008 โดย FlexDoor เป็นระบบการเปิดประตูแบบตู้กับข้าวที่นอกจากจะเปิดทำมุมเกือบจะ 90 องศากับตัวรถได้แล้ว ยังต่างจากการเปิดแบบประตูกับข้าวหรือ suicide door ทั่วไป ตรงที่ประตูหน้า-หลังสามารถเปิดได้อย่างอิสระต่อกันต่างจากรถอย่าง Mazda RX-8 หรือ Rolls Royce Phamtom และ Ghost ซึ่งทำให้สะดวกแก่ผู้โดยสารในการเข้าออกรถยนต์ อย่างไรก็ตาม Meriva ยังมีเสา B ค้ำยันบริเวณกึ่งกลางรถเช่นเดิม

สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของ All-New Meriva ยังคงสภาพเดิมๆของรถแนวคิดที่เคยอวดโฉมไปก่อนหน้านี้และยังคง feature ต่างๆเช่นเดิมด้วย เช่น การออกแบบในสไตล์ glasshouse ที่มีรอยหยักตรงประตูหลังใกล้กับเสา B เหมือนกับที่มีในรถแนวคิดเช่นกัน นอกจากนั้นเส้นสายต่างๆยังถอดมาจากรุ่น Insignia และ Astra

GM ไม่ได้เผยภาพภายในของตัวรถ แต่เปิดเผยว่า ภายในได้ยืมแบบส่วนใหญ่มาจากทั้งของ Insignia และ Astra ในแง่ของรูปแบบและชนิดของวัสดุภายในที่ใช้ ซึ่งพื้นที่ใช้สอยภายในได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยระบบ FlexSpace ที่ช่วยให้การพับเก็บเบาะหลังแต่ละเบาะสามารถทำได้อย่างง่ายดายมากขึ้นโดยสามารถเลื่อนไปด้านหลังเพื่อพื้นที่ช่วงไหล่และพื้นที่วางขาที่กว้างขวางขึ้น

นอกจากระบบ FlexDoor และ FlexSpace แล้ว ยังมีระบบ FlexRail ที่ใช้รางคู่บริเวณส่วนล่างของคอนโซลกลางเพื่อใช้ในการวางงหรือติดตั้งกล่องเก็บของได้มากมายหลายแบบ
รถ Mini MPV เจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ Vauxhall/Opel นี้ ใช้ platform ใหม่ที่มีฐานล้อยาวมากขึ้น และระยะระหว่างล้อหน้าทั้งสองและล้อหลังทั้งสองกว้างขึ้นเช่นกัน เพื่อให้สามารถควบคุมการขับขี่ได้ดีขึ้น

ระบบขับเคลื่อนของ Meriva รุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลและเทอร์โบเบนซิน 6 สูบ แถวเรียง ให้กำลังระหว่าง 75-145 แรงม้า(PS) ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่ารถที่เคยผลิตในรุ่นนี้ถึง 15% และยังมีรุ่น ecoFLEX ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและอัตราการปล่อย CO2 สู่อากาศมีปริมาณต่ำ

Meriva ใหม่ได้ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้แข่งขันกับรถ Mini MPV อย่าง Citroen C3 Picasso, Kia Venga และ Honda Jazz/Fit โดย GM จะทำการเปิดตัว Meriva อย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show ในเดือนมีนาคมที่กำลังจะมาถึงนี้ครับ

ที่มา: General Motors,autospinn

Tagged as: 2010 all new Opel Meriva, 2010 Opel Meriva, 2010 Vauxhall Meriva, Meriva, Opel, Opel Meriva, vauxhall, Vauxhall Meriva

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟอร์ด โชว์เทคโนฯ3สูบต่อยอดรถเก๋งเพื่อคนเมือง

ฟอร์ด โชว์เทคโนฯ3สูบต่อยอดรถเก๋งเพื่อคนเมือง ฟอร์ด มอเตอร์ เปิดตัวรถเก๋งต้นแบบ ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ เครื่องเล็ก 3 สูบ หวังพัฒนาป้อนตลาดคนเมืองในอนาคต รายงานข่าว จากฟอร์ด มอเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนา รถต้นแบบของฟอร์ดรุ่นฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ซึ่งเป็นรถต้นแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี แนวคิดของฟอร์ด ในการออกแบบ รถคอนเซปต์รุ่นใหม่เกิดจากทิศทางการเติบโตของเมืองต่างๆ ทั่วโลก ที่มีความทันสมัย มหานครที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 20 แห่งทั่วโลก คือ ที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มีความต้องการ ความคิดเห็น และความคาดหวังคล้ายคลึงกับชาวเมืองใหญ่ในประเทศอื่นๆ มากกว่าที่จะคล้ายคลึงกับคนในประเทศเดียวกันที่อาศัยอยู่ในเมืองขนาดเล็ก ผู้บริโภคเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในสังคมเมือง จึงมองหาสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการของตนเองได้อย่างลงตัว

"ปัจจุบัน ประชากรโลกมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่ในเขตเมือง และภายใน พ.ศ. 2593 จำนวนดังกล่าวจะพุ่งทะยานขึ้นสูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ท้องถนนและลานจอดรถที่ไม่เพียงพอ ความกังวลต่อการประหยัดน้ำมันของรถ รวมทั้งปริมาณและราคาของน้ำมันในปัจจุบัน ผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อยานพาหนะและการเดินทางต่างไปจากเดิมอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"

รายงานระบุต่อไปว่า ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ นั้น เปิดตัวพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ ที่มีกำลังสูงสุดและช่วยประหยัดน้ำมันได้ด้วยการทำงานของเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร ที่ฟอร์ดจะผลิตในอนาคต เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายระยะยาวของฟอร์ดที่ต้องการ เพิ่มกำลังให้แก่เครื่องยนต์มากขึ้น จึงติดตั้ง ระบบ เทอร์โบชาร์จร่วมกับระบบไดเร็ก อินเจ็กชั่น เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ลิตร ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ ให้กำลังและแรงบิดเทียบเท่ากับเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ 1.6 ลิตร และคาดว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าระดับมาตรฐานที่ 100 กรัม/กิโลเมตร

ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ติดตั้งระบบส่งกำลังเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ที่ได้รับการออกแบบมาให้มอบพละกำลังแก่เครื่องยนต์ได้โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันลดลง ระบบส่งกำลังที่ให้แรงบิดสูงของเครื่องยนต์ฟอร์ด อีโคบู๊สต์ แบบ 3 สูบ 1.0 ลิตร และช่วงล่างที่ยึดเกาะถนน สไตล์สปอร์ต จึงทำให้ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์ ขับสนุก ตามแบบ ฉบับของฟอร์ด ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่ารถยนต์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ อย่างเช่น นิสสัน มาร์ช อีโคคาร์ รุ่นแรก ก็ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กและมีสูบเพียง 3 สูบเท่านั้น
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
Tags : ฟอร์ด สตาร์ท คอนเซปต์

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

มาสด้าชี้ปัจจัยบวกเพียบส่งยอดขายพุ่ง

มาสด้าชี้ปัจจัยบวกเพียบส่งยอดขายพุ่ง ข่าวในประเทศ – มาสด้า ฟุ้งยอดขายเดือนพฤษภาคมเกิน 3,000 คัน โต 275% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ประธานใหม่เผย ปัจจัยบวกเอื้อทั้ง อัตราดอกเบี้ยต่ำ ราคาน้ำมันนิ่ง พร้อมจัดกิจกรรมช่วงโลว์ซีซั่น จับกลุ่มนักศึกษา มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่จับตามองและติดตามสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมานานพอสมควร ซึ่งยอดขายรวมทั้งตลาดยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าจะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอยู่บ้าง แต่นับว่าปัจจัยบวกยังมีอยู่มาก และยังคงมีเสถียรภาพอยู่ ปัจจัยเหล่านี้ยังเอื้อให้ธุรกิจรถยนต์ดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้ง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยังคงตัวในอัตราที่ไม่สูงนัก ความยืดหยุ่นของบริษัทไฟแนนซ์ที่รับเช่าซื้อรถยนต์ ที่สำคัญราคาน้ำมันมีความคงที่ไม่ขึ้นลงเหมือนปีก่อนๆ หากจะมองมุมธุรกิจมหภาคแล้ว พื้นฐานเศรษฐกิจประเทศไทย ยังมีความเข็มแข็งอยู่มากซึ่งถ้าดูจากยอดการจำหน่ายโดยรวมต้องถือว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยมีความสดใสมากขึ้นและคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป

การแข่งขันตลาดรถยนต์ในขณะนี้ค่อนข้างดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือ บีคาร์ หลังการเปิดตัวมาสด้า2 ใหม่ ได้กระตุ้นตลาดผู้บริโภคให้เกิดความนิยมรถขนาดเล็กมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดในเซ็กเม้นต์นี้เติบโตมาโดยตลอด แม้ว่าในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาตลาดจะได้รับผลกระทบจากความไม่สงบภายในประเทศที่เกิดขึ้น แต่มาสด้าก็ยังสามารถฝ่าวิกฤตครั้งสำคัญนี้ได้อย่างสวยงาม ด้วยยอดขายเกิน 3 พันคันเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้นสูงถึง 3,253 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 275% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

โดยเฉพาะรถยนต์นั่งมาสด้า2 ใหม่ทั้ง 2 รุ่น แฮตช์แบค 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู ที่ยอดขายสูงสุดรวมกันถึง 2,360 คัน ส่วนมาสด้า3 ที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดมียอดขายสูงถึง 462 คัน และรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 ใหม่ ซึ่งเดือนนี้เริ่มผลิตรถมากขึ้น สามารถส่งมอบได้ถึง 424 คัน และในส่วนของรถสปอร์ตครอสโอเวอร์สุดหรู 7 ที่นั่ง มาสด้า CX-9 ใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 5 คัน และรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุน มาสด้า MX-5 ใหม่ เดือนนี้ส่งมอบให้ลูกค้า 2 คัน

สำหรับในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่สำหรับมาสด้านั้นถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ พร้อมเดินหน้าตอกย้ำความเป็นยนตรกรรมสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับกิจกรรมสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ "เจ็นนาว" หรือ Generation NOW ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตมาในโลกดิจิตอล จึงมีไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดมันส์ "Mazda2 on Campus... Zoom-Zoom Life Begins" เตรียมออกเดินสายตามมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศ

สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมามาสด้าประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายไปพร้อมๆ กับการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว ยังคงเน้นสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าควบคู่ไปกับการสร้างดีมานด์ในตลาด ในเดือนนี้จึงส่งแคมเปญสื่อสารใหม่ซึ่งพูดโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม โดยเน้นการบอกจุดเด่นเรื่องดีไซน์ที่โดดเด่นและความสปอร์ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถผ่านบุคลิกของผู้ใช้ ภายใต้แคมเปญ "มาสด้า ฮอตแฮตช์" ด้วยการโปรโมทสองพี่น้องตระกูลสปอร์ตแฮตช์แบค 5 ประตู มาเอาใจคนพันธุ์แฮตช์ รุ่นพี่มาสด้า3 ที่สปอร์ตหรู มีสไตล์ ร่วมกับรุ่นน้องมาสด้า2 ใหม่ สปอร์ตท้าทาย จิ๊ดได้อีก พร้อมมอบรายการส่งเสริมการขายเพื่อให้ลูกค้ามาสด้าเป็นเจ้าของรถในฝันได้ง่ายขึ้น

โดยรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 รับฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุดถึง 3 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพียง 2.19 % เท่านั้น ในส่วนของมาสด้า2 ใหม่ ทั้งรุ่นแฮตช์แบค 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 3 ปี

ในส่วนของรถสปอร์ตปิคอัพมาสด้า บีที-50 ใหม่ รุ่นฟรีสไตล์แค็ป V Hi-Racer หรือรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อแบบยกสูง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของมาสด้า รับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปีแล้ว อัตราผ่อนชำระเพียงเดือนละ 6,299 บาทเท่านั้น และยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 3 ปีด้วยเช่นกัน ในส่วนของรถสปอร์ตครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่ง มาสด้า ซีเอ็กซ์-9 ใหม่ รับฟรีค่าบำรุงรักษานาน 3 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุดถึง 3 ปี

สำหรับสปอร์ตโรดสเตอร์มาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 ใหม่ รับฟรีประกันคุณภาพนานถึง 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร ฟรีค่าบำรุงรักษานาน 3 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี ฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุดถึง 3 ปี

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นิสสันหวั่น “มาร์ช” เสียเปรียบอี 85-ไฮบริด ขอลดภาษี 3%

นิสสันหวั่น “มาร์ช” เสียเปรียบอี 85-ไฮบริด ขอลดภาษี 3% ข่าวในประเทศ - “นิสสัน” ยื่นขอลดภาษีสรรพสามิตอีโคคาร์ลงอีก 3% อ้างหวั่นได้รับผลกระทบจากรถยนต์ใช้น้ำมัน อี 85 และรถไฮบริด ทั้งที่ลงทุนขั้นต่ำมากถึงกว่า 5 พันล้านบาท เผยเล็งคุยกับผู้ประกอบรายอื่นๆ หาข้อสรุปให้รัฐบาลพิจารณาอย่างจริงจัง ขณะที่ “นิสสัน มาร์ช” ยอดจองทะลัก ค้างส่งมอบกว่า 1.1 หมื่นคัน ลูกค้ารอนาน 5 เดือน แต่กำลังการผลิตเพิ่มไม่ได้มากกว่านี้ ส่วนจะลงทุนเพิ่มหรือไม่ต้องรอญี่ปุ่นเคาะ

ประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังการแนะนำนิสสัน มาร์ช ซึ่งเป็นรถยนต์ภายใต้โครงการอีโคคาร์สู่ตลาดเป็นรายแรก และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่นิสสันหวั่นว่าอีโคคาร์จะได้รับผลกระทบในอนาคต เมื่อคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติสนับสนุนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใช้น้ำมันอี 85 ลดลงจากอัตราเดิม 3% และต่อไปก็จะมีรถยนต์ไฮบริดออกมาอีก โดยเสียภาษีในอัตรา 10% เท่านั้น

“เรื่องนี้อาจจะส่งผลกระทบต่ออีโคคาร์ที่เสียภาษีสรรพสามิต 17% นิสสันจึงได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลลดภาษีลงอีก 3% เพื่อทำให้มีช่องว่างทางภาษีที่เหมาะสม ไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันจนเกินไป และอีโคคาร์ก็เป็นโครงการที่ลงทุนจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท แต่เกิดเหตุการณ์จลาจลของกลุ่มคนเสื้อแดง รัฐบาลจึงยังไม่ได้มีการพิจารณา แต่เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว น่าจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาอย่างจริงจังมากขึ้น”

ในส่วนของผู้ประกอบการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนอีโคคาร์ ทราบว่าต่างยื่นข้อเสนอดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งในเร็วๆ นี้คงจะมีการพูดคุยรวบรวมความคิดเห็นระหว่างผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการขอลดภาษีสรรพสามิตอีโคคาร์ลงอีก เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะทำให้การพิจารณาของรัฐบาลชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นายประพัฒน์กล่าวว่า ส่วนการที่ผู้บริโภคชาวไทยให้การตอบรับ นิสสัน มาร์ช เป็นจำนวนมาก จนปัจจุบันมียอดจองมากกว่า 15,000 คัน และมียอดค้างส่งมอบกว่า 11,000 คัน หรือลูกค้าที่จองซื้อมาร์ชช่วงนี้ จะต้องรอรถนานประมาณ 5 เดือนนั้น เป็นเรื่องที่นิสสันพยายามหาช่องทางแก้ไขอยู่ แต่คงลำบากที่จะเร่งผลิตให้ได้มากกว่านี้ เพราะกำลังการผลิตใช้เกือบเต็มที่แล้ว

“ส่วนการลงทุนขยายไลน์ผลิต หรือเปิดโรงงานแห่งใหม่ ยังไม่ได้มีการสรุปในเรื่องนี้ เพียงแต่เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพูดคุยกันภายใน ยังไม่ได้มีการนำเสนอไปทางบริษัทแม่ นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณากันอย่างละเอียด ขณะนี้จึงทำได้เพียงเพิ่มกะ หรือโอทีในการทำงานเท่านั้น”

โดยปีนี้กำลังการผลิตนิสสัน มาร์ช อยู่ที่ 90,000 คัน แบ่งเป็นส่งออก 70,000 คัน และรองรับตลาดในประเทศ 20,000 คัน ส่วนปิกอัพนิสสัน ฟรอนเทียร์ นาวารา กำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 70,000 คัน ส่งออกประมาณ 60,000 คัน (ฟรอนเทียร์ นาวารา และฟรอนเทียร์) ที่เหลือเป็นรถยนต์นั่งรุ่นอื่นๆ

นายประพัฒน์กล่าวว่า แม้นิสสัน มาร์ช จะมียอดจองค้างส่งมอบหลายเดือน แต่การรุกตลาดและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ยังคงมีต่อเนื่อง ด้วยการจัดกิจกรรม “ช็อตเด็ดกับมาร์ช ได้ชิดกับเคน” เพื่อประกวดภาพถ่ายรถยนต์มาร์ช กับแนวคิดอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตอกย้ำภาพรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปส่งภาพถ่ายที่มีรถยนต์มาร์ชเป็นองค์ประกอบบังคับในการส่งภาพเข้าประกวด ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะสื่อถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เปิดอิสระให้กับผู้ประกวดในนำเสนอ

สำหรับผู้ชนะการประกวดจะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 50,000 บาท รองชนะเลิศ 30,000 บาท และ 15,000 บาทตามลำดับ และผู้เข้ารอบสุดท้าย 17 ท่าน จะได้เข้าร่วมกิจกรรมขับรถยนต์นิสสัน มาร์ช กับพรีเซ็นเตอร์ชื่อดัง “เคน” ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ในแบบซิตี้ทัวร์ชมสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานคร โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่ 9 มิถุนายน จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ประกาศผลตัดสินวันที่ 25 สิงหาคม 2553

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ทาทาเปิดโรงงานใหม่ผลิต“นาโน”

ทาทาเปิดโรงงานใหม่ผลิต“นาโน” ทาทา มอเตอร์ส เปิดโรงงานผลิตรถยนต์รุ่น “นาโน” แห่งใหม่อย่างเป็นทางการที่เมืองซานันด์ นครอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย กำลังการผลิต 250,000 - 350,000 คันต่อปี
ราทัน เอ็น.ทาทา ประธานบริษัท ทาทา ซันส์ และ ทาทา มอเตอร์ส เปิดเผยว่า โรงงานแห่งนี้จะเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายของทาทา มอเตอร์ส ที่จะทำให้ประชาชนอินเดียหลายแสนครอบครัวได้เป็นเจ้าของรถรุ่นนาโน ด้วยกำลังการผลิต 250,000 - 350,000 คันต่อปี และพร้อมรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต

“ปัจจุบันเราผลิตรถรุ่นนาโนได้ที่โรงงานแห่งนี้ ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์อย่างรวดเร็วเพียง 14 เดือน โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลรัฐคุชราต และจะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการรถยนต์ทาทา นาโน จากประชาชนทั่วประเทศอินเดียได้ดียิ่งขึ้น”

การส่งมอบรถรุ่นนาโนที่ผลิตที่โรงงานเมืองซานันด์ จะเริ่มในเดือนมิถุนายน 2553 เมื่อรวมกับรถที่ผลิตจากโรงงานที่เมืองปันต์นาการ์ รัฐอุตตรขันฑ์ ก็จะสามารถส่งมอบรถตามยอดจองในปี 2552 ได้ทั้งหมดในไม่ช้า

โรงงานแห่งนี้ใช้เครื่องจักรอันทันสมัยและเทคโนโลยีการผลิตใหม่ล่าสุดมาตรฐานระดับโลก รวมถึงหุ่นยนต์อัจฉริยะและระบบสายพานการผลิตที่รวดเร็ว ใช้มอเตอร์ประหยัดพลังงาน มีระบบควบคุมกระแสไฟฟ้าแบบ variable frequency drive ระบบตรวจวัดปริมาณคาร์บอน นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สีเขียวเป็นบริเวณกว้าง ระบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ และระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

ปัจจุบันโรงงานทาทา เมืองซานันด์ มีการจ้างงาน 2,400 ตำแหน่ง ซึ่งเมื่อมีการขยายกำลังการผลิตทั้งในส่วนของโรงงานประกอบรถยนต์และโรงงานผลิตชิ้นส่วนน่าจะช่วยสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อีกราว 10,000 ตำแหน่ง

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เผยภาพหลุด“ซูซูกิ สวิฟต์ ใหม่”

เผยภาพหลุด“ซูซูกิ สวิฟต์ ใหม่” สำหรับตลาดโลกขายกันมาตั้งแต่ปี 2004 ในตอนนี้ก็เลยใกล้ช่วงเวลาของการเปลี่ยนโฉม หรือโมเดลเชนจ์ของซับคอมแพ็กต์รุ่นดังจากค่ายซูซูกิอย่าง"สวิฟต์"กันแล้ว ล่าสุดมีภาพคันจริงถูกเผยแพร่ให้เห็นตามอินเตอร์เนต

ภาพที่เห็นอยู่นี้เป็นสวิฟต์ใหม่ที่กำลังถูกเคลื่อนย้ายออกจากโรงงาน Esztergom ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการีไปทางเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร โดยเชื่อว่าทางซูซูกิจะเปิดแผยภาพคันจริงพร้อมข้อมูลในอินเตอร์เนตช่วงวันที่ 10 มิถุนายนนี้ ก่อนนำคันจริงของรถยนต์รุ่นนี้ออกเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานใหญ่อย่างปารีส มอเตอร์โชว์ 2010 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 2-17 ตุลาคมนี้

อย่างไรก็ตาม รายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถยังไม่มีการเปิดเผยออกมา และจากภาพที่เห็นอยู่นี้ ตัวถังหลักที่จะทำตลาดยังเป็นแบบแฮทช์แบ็ก 5 ประตูเหมือนเดิม ส่วนรุ่น 3 ประตูที่ขายเฉพาะในยุโรปยังไม่มีการเปิดเผยว่าในรุ่นใหม่นี้จะมีขายด้วยหรือไม่
บ้านเราก็ร้องเพลงรอกันไปก่อน เพราะรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เข้ามาบุกช้ามากเรียกว่าอยู่ในช่วงปลายอายุตลาดของสวิฟต์แล้ว ดังนั้น ใครที่คิดจะซื้อคงไม่ต้องตกใจ เพราะคาดว่าอีกนานคงจะเข้ามาบ้านเรา แถมถ้าไม่มีการตั้งไลน์ผลิตในอาเซียน เรียกว่าแทบจะหมดโอกาสได้สัมผัสกันไปเลย
ที่มา http://www.thaiday.com/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000079525

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จีเอ็มตั้งเป้าขายรถในจีน 3 ล้านคัน

จีเอ็มตั้งเป้าขายรถในจีน 3 ล้านคัน เอ็ม หรือเจนเนอรัล มอเตอร์สวางแผนขยายตัวเลขยอดขายในตลาดรถยนต์จีน เผยตั้งเป้าทำยอดขายให้ถึงในระดับ 3 ล้านคันภายในปี 2015 หรือหมายความว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2009 มากถึง 50% เลยทีเดียว
ข่าวนี้ได้รับการเปิดเผยจากเว็บไซต์ Edmunds.com โดยอ้างแหล่งข่าวภายในของจีเอ็ม ไชน่าหลังจากที่จีเอ็มเผยยอดขายรถยนต์ของตัวเองในจีนช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้สามารถโตสวนกระแสภาพรวมของตลาด เพราะรถยนต์ของจีเอ็มกวาดยอดขายไปแล้วกว่าล้านคัน หรือเดินทางมาถึงครึ่งทางของยอดขายที่ตั้งเอาไว้ในปีนี้

แม้ว่าจะมีการวิเคราะห์ว่าตลาดรถยนต์ปลายปีช่วงครึ่งปีหลังจะออกอาการเข้าเกียร์สโลว์ แต่ทาง เควิน เวล ประธานจีเอ็ม ประเทศจีน ก็ยังมีความมั่นใจว่าจีเอ็มจะเดินทางไปถึงเป้าที่วางเอาไว้อย่างแน่นอน โดยหลังจากที่ตลาดรถยนต์จีนขึ้นถึงจุดสูงสุดในด้านยอดขายเมื่อไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เมื่อย่างเข้าสู่ไตรมาสแรกของปีนี้กลับมีตัวเลขที่ไม่หวือหวาเท่าที่ควร ซึ่งเป็นผลมาจาทางภาครัฐยังไม่มีนโนบายกระตุ้นการซื้อรถยนต์ใหม่ออกใช้

บรรดานักวิเคราะห์อุตสาหกรรมรถยนต์ในจีนต่างเชื่อว่า การกล้าที่จะตั้งเป้าหมายยอดขายในจีนที่สูงแตะระดับ 3 ล้านคันของจีเอ็มไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้ จีเอ็มเคยประกาศออกมาว่า เตรียมเปิดตัวรถยนต์ใหม่ทั้งแบบโมเดลเชนจ์ หรือไมเนอร์เชนจ์ในปี 2012 รวมแล้วถึง 25 รุ่น และในปีต่อๆ ไปก็จะมีการเพิ่มรุ่นรถยนต์สำหรับขายในจีนเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางเอาไว้
เช่นเดียวกับการเจาะตลาดรถตู้เพื่อการพาณิชย์กับ SAIC ภายใต้ชื่อ SAIC-GM-Wuling ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทางจีเอ็มก็ตั้งเป้าเอาไว้ว่าในปี 2012 นี้จะเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงาน Liuzhou อีก 33% จากปี 2010 เป็น 800,000 คันต่อปี

‘ในตอนนี้จีเอ็มมีความแข็งแกร่งในตลาดรถยนต์จีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาขายในจีนเมื่อปีที่แล้ว ในตอนนี้รถยนต์เหล่านี้กำลังสร้างยอดขายให้กับจีเอ็ม อีกทั้งพวกเขายังเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับบรรดาพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งทำให้อนาคตของจีเอ็มในตลาดจีนน่าจะดีขึ้นอย่างมาก’ John Zeng นักวิเคราะห์ด้านรถยนต์ของ Global Insight กล่าว

ปัจจุบัน จีเอ็มเป็นพันธมิตรกับทาง Shanghai Automotive Industry Corp (SAIC) และมีรถยนต์ทำตลาดหลายรุ่นผ่านทางแบรนด์หลักๆ อย่างแคดิลแล็ก, เชฟโรเลต และบูอิก ส่วนในเรื่องของการลงทุนเพื่อรองรับกับเป้าหมายที่วางเอาไว้นั้น ทางจีเอ็มยังไม่มีการเปิดเผย ต่างจากคู่ปรับอย่างโฟล์คสวาเกนที่เพิ่งประกาศลงทุนในจีนอีก 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 71,400 ล้านบาทเพื่อเพิ่มยอดขายในตลาดจีน รวมถึงนิสสันก็ประกาศสสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในกวางเจา ซึ่งจะทำให้มียอดการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 240,000 คันเมื่อโรงงานแห่งนี้เริ่มเดินเครื่องผลิตในปี 2012

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
จีเอ็มตั้งเป้าขายรถในจีน 3 ล้านคัน

ฟอร์ดเชือดเมอร์คิวรี่เปิดทางลินคอล์น

ฟอร์ดเชือดเมอร์คิวรี่เปิดทางลินคอล์น ในที่สุดแบรนด์รถยนต์เก่าแก่ที่มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนแก่อย่างเมอร์คิวรี่ของฟอร์ดก็กลายเป็นอดีตจนได้ เมื่อทางฟอร์ด มอเตอร์สเปิดเผยแล้วว่าจะเก็บแบรนด์รถยนต์นี้เข้าลิ้นชัก ไม่มีการทำตลาดอีกต่อไป เพื่อเปิดทางให้กับลินคอล์น แบรนด์รถยนต์ระดับหรูได้ทำหน้าที่สร้างยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัว สำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้ถือเป็นการยุติบทบาทแบรนด์รถยนต์ที่เก่าแก่อีกรายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ในตลาดมานานถึง 71 ปีโดยที่ผ่านมา เมอร์คิวรี่ถูกรวมกิจการและทำตลาดควบคู่กับลินคอล์นภายใต้ชื่อ Mercury and Lincoln แต่ทว่าทางฟอร์ดไม่ได้วางแผนและสร้างบทบาทอะไรใหม่ๆ ให้กับทางเมอร์คิวรี่เลย เรียกว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่ายนี้ไม่มีรถยนต์ใหม่แกะกล่องที่ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้แบรนด์ของตัวเองทำตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นการนำรถยนต์ของฟอร์ดและลินคอล์นมาแต่งหน้าทาปากใหม่เพื่อขายกลุ่มลูกค้าที่ยังมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์นี้

เมอร์คิวรี่ถูกตั้งขึ้นในปี 1939 โดยเอ็ดเซล ฟอร์ด ลูกชายของเฮนรี่ ฟอร์ดเพื่อเป็นแบรนด์รถยนต์สำหรับทำตลาดในระดับหรูหรา ซึ่งมีฐานะทางการตลาดแทรกกลางระหว่างฟอร์ดกับลินคอล์น คล้ายกับบูอิกของเครือเจนเนอรัล มอเตอร์ส โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายของเมอร์คิวรี่ และลินคอล์นในตลาดสหรัฐอเมริกามีตัวเลขรวมกันอยู่แค่ 8,189 คันจากจำนวนยอดขายรวมของฟอร์ด 178,057 คัน หรือคิดเป็น 11.5% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ในปีที่แล้วทั้ง 2 แบรนด์มีตัวเลขยอดขายเพียง 175,146 คัน หรือคิดแล้วมีตัวเลขใกล้เคียงกับยอดขายรถยนต์เพียง 1 เดือนของเชฟโรเลต

จริงอยู่ที่ทั้งเมอร์คิวรี่ และลินคอล์นจะไม่ได้มีบทบาทในด้านการสร้างตัวเลขยอดขายที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับฟอร์ด แต่ดูเหมือนว่าอนาคตของเมอร์คิวรี่จะค่อนข้างมืดมนมากกว่าลินคอล์น และเมื่อฟอร์ดจำเป็นจะต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียวในการเป็นแบรนด์ระดับหรูที่ขายเคียงคู่กับฟอร์ดต่อไปในอนาคต ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจเลือกลินคอล์นที่มีชื่อชั้นและยอดขายดีกว่า แทนที่จะเป็นเมอร์คิวรี่

โดยภายใต้กลยุทธ์ใหม่นี้ ทางฟอร์ดจะทุ่มเทการพัฒนาและเงินลงทุนในการยกระดับแบรนด์ลินคอล์นให้มีภาพลักษณ์และความสามารถขึ้นมาเทียบชั้นกับแคดิลแล็กของจีเอ็ม และเล็กซัสของโตโยต้า

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

BMW M3 E92 รถแต่งฝีมือน้องใหม่ Emotion Wheels โชว์พาวฝ่าแนวต้านระดับ 707 แรงม้า

BMW M3 E92 รถแต่งฝีมือน้องใหม่ Emotion Wheels โชว์พาวฝ่าแนวต้านระดับ 707 แรงม้า Emotion Wheels มีชื่อเสียงในเรื่องล้ออัลลอยตามชื่อ แต่ระยะหลังๆเริ่มเข้ามาสู่ธุรกิจแต่งรถมากขึ้นโดยล่าสุดได้นำ BMW M3 รถยอดนิยมสำหรับการแต่งจากสำนักต่างๆมาแต่งกับเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่ทราบว่าเพราะเป็นน้องใหม่ของวงการแต่งรถหรือไม่ ที่ทำให้ Emotion Wheels แต่งสมรรถนะของคูเป้ยอดนิยมนี้ให้ได้กำลังสูงถึง 700 กว่าแรงม้า เรียกว่าเปิดตัวกันในช่วงแรกๆนี้ก็ต้องใช้เสียงดังๆเข้าไว้ก่อน
BMW M3 ที่ถูกแต่งนี้เป็นรุ่นรหัส E92 เดิมใช้เครื่องยนต์มาตรฐานเป็นเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร NA ให้กำลัง 414 แรงม้า แต่ Emotion Wheels ทดแทนเครื่องเดิมด้วยเครื่องยนต์ของรุ่น X5 M และ X6 M ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ 4.4 ลิตร กำลัง 547 แรงม้า แต่ Emotion Wheels ยังคิดว่าแรงไม่พอจึงทำการปรับแต่งเครื่องยนต์ และใช้ระบบไอเสียสไตล์สปอร์ทแบบใหม่ จนได้แรงม้าถึง 707 ตัว และเพื่อที่จะรองรับกำลังในระดับนี้ โครงสร้างตัวถังและระบบกันสะเทือนได้ถูกอัพเกรดด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม Emotion Wheels ไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขทางสมรรถนะ ยกเว้นในเรื่องของอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่สามารถทำได้ภายในเวลา 4.8 วินาที ในขณะที่การแต่งโฉมมีการใช้ฝากระโปรงหน้าทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ล้ออัลลอยสีดำด้านของ Wasabi ขอบ 19 นิ้ว ส่วนเรื่องของราคาชุดแต่งจะมีการเปิดเผยในภายหลังครับ

ที่มา: Emotion Wheels,www.autospinn.com

ถึงทีสีขาวด้าน Daihatsu Materia แฮทช์ทรงเหลี่ยม ในชุดแต่ง IceCube จาก Inden Design


ถึงทีสีขาวด้าน Daihatsu Materia แฮทช์ทรงเหลี่ยม ในชุดแต่ง IceCube จาก Inden Design
Inden Design กลับมาพร้อมชุดแต่ง Daihatsu Materia รถแฮทช์ 5 ประตูที่ดูคล้ายกับรถในสไตล์ของ Scion ที่ขายในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Daihatsu COO, Toyota bB และ Subaru Dex ที่ทำให้ Materia ธรรมดาๆหน้าตาซื่อๆดูเข้มแข้งขึ้นภายใต้ชุดแต่งที่ชื่อ Icecube ซึ่งใช้สีตัวถังเป็นสีขาวด้านที่อาจจะเป็นสียอดนิยมในอนาคตเหมือนกับดำด้านก็เป็นได้

ชุดแต่ง Icecube นอกจากจะมีการใช้สีขาวด้านเป็นจุดขายแล้ว ยังมีการแต่งด้วยสีดำสำหรับหลังคาอีกด้วย รวมค่าใช้จ่ายในการทำ 2 สีนี้ตกอยู่ที่ 5,500 ยูโร นอกจากนั้นยังมีชุดแต่งรอบคันที่ประกอบด้วย ครอบไฟหน้า สเกิร์ตข้าง และคิ้วล้อ ในราคา 448 ยูโร กันชนหลังมาพร้อมกับ Diffuser และปล่อยท่อขนาดใหญ่ 2 ท่อในราคา 448 ยูโร และกันชนหน้าพร้อมไฟ Day Time ที่ 230 ยูโร

Inden Design ยังมีชุดแต่งคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับกระจกข้าง ที่จับประตูนอกรถ ที่เปิดประตูหลัง ในราคา 1,200 ยูโร และยังมีชุดแต่งระบบกันสะเทือนสไตล์สปอร์ทโหลดเตี้ยจาก H&R ที่ 780 ยูโร ระบบไอเสียสไตล์สปอร์ทพร้อมปลายท่อ 2 ตัว ที่ 1,198 ยูโร ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว หุ้มยางขนาด 215/35 และ 225/35 สำหรับล้อหน้าและล้อหลังตามลำดับในราคา 5,800 ยูโรครับ

ที่มา: Inden Design,www.autospinn.com

เอเอเอสเล่นแรงไล่ทุบเกรย์มาร์เก็ต เพิ่มวารันตีจาก2เป็น9ปีเร่งขยายศูนย์บริการหัวเมือง

เอเอเอสเล่นแรงไล่ทุบเกรย์มาร์เก็ต เพิ่มวารันตีจาก2เป็น9ปีเร่งขยายศูนย์บริการหัวเมือง
"เอเอเอส" ลั่นไม่สนเกรย์มาร์เก็ตนำรถเข้ามาทำตลาด หลังเชื่อลูกค้าให้ความไว้วางใจในบริการหลังการขาย และโนว์ฮาวคนละชั้น เผยเตรียมปัดฝุ่นโครงการขยายโชว์รูมศูนย์บริการออกต่างจังหวัด คาดปีนี้ขาย 70-80 คัน นายวินธร บุนนาค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงรูปแบบการทำตลาดรถยนต์ปอร์เช่ในปัจจุบันว่า ได้มีผู้นำเข้าอิสระนำรถปอร์เช่เข้ามาทำตลาดเป็นจำนวนค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำตลาดของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่มกันอย่างชัดเจน

แม้ว่าเกรย์มาร์เก็ตจะได้เปรียบในแง่ของราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าถึง 20% เป็นอย่างน้อย แต่จากคุณภาพมาตรฐานการให้บริการของบริษัทได้ตรงตามมาตรฐานของปอร์เช่ นอกจากนี้ บริษัทให้การรับประกันหลังการขาย จากเดิมโรงงานให้ 2 ปี แต่บริษัทเพิ่มให้กับลูกค้าเป็น 9 ปี รวมทั้งการบำรุงรักษาฟรีตลอดระยะเวลา 4 ปี รวมถึงการอัพเดตโปรแกรมซ่อมบำรุง เทคโนโลยีต่าง ๆ บริษัทก็ต้องมีการพัฒนาและ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทุก 2 เดือน

ขณะที่ผู้ประกอบการเกรย์มาร์เก็ตนั้น แม้ว่าได้เปรียบในแง่ของราคาจำหน่ายที่ ถูกกว่า แต่สเป็กของรถยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายนั้น อาจจะไม่ใช่รถยนต์ที่ถูกผลิตมาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในประเทศไทย ซึ่งหากรถมีปัญหา อาจจะทำให้ลูกค้าเกิดความยุ่งยากในเรื่องของการรับประกัน รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อาจจะไม่ได้มีการปรับปรุงอัพเดตให้ทันสมัยโดยตรงกับบริษัทแม่

"อย่างรถยนต์ที่เรานำเข้ามา สเป็กทุกอย่างจะได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพของเมืองไทย ขณะที่รถเกรย์มาร์เก็ต นำเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นสเป็กเมืองนอก ซึ่งปัญหาหลักที่พบจะอยู่ที่การจูนกล่อง และน้ำมันที่ใช้ คือรองรับได้แค่น้ำมันที่มีออกเทน 95 เท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพน้ำมันบ้านเรา แต่วันนี้ เราก็ยังเปิดกว้างให้ลูกค้าที่ซื้อรถจากที่อื่นเข้ามาใช้บริการหลังการขายได้ด้วย แต่เราก็ต้องชี้แจงว่า เราจำเป็นต้องดูแลตามสภาพการใช้งานด้วย"

สำหรับผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาว่า มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 70-80 คัน แต่ขณะนี้มียอดขายและส่งมอบรถยนต์ไปแล้ว 36 คัน และมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าอีก 10 คัน ประกอบกับในช่วงไตรมาสที่ 3 จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นนอน

แบ่งสัดส่วนการขายเป็นบ๊อซเตอร์และเคแมน คิดเป็น 30% ของยอดขาย สปอร์ต 911 คิดเป็น 40% ของยอดขาย สำหรับ รถรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาดนั้น มีทั้ง รถสปอร์ต อย่างจีที 2 อาร์เอส, 911 สปอร์ต เทอร์โบ เอส, คาเยน และพานาเมร่า วี 6 ซึ่งเราจะทยอยนำเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดขายนั้น คาดว่าจะไม่เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากโควตาที่บริษัท ได้รับในปีนี้มีจำนวนจำกัด ประกอบกับความต้องการรถยนต์ปอร์เช่ในตลาดโลกมีค่อนข้างสูงในขณะนี้

"รุ่น 911 สปอร์ต คลาสสิก ที่ทั่วโลกผลิตมีแค่ 250 คันนั้น เมื่อเปิดตัวในตลาดโลกไม่ถึง 2 อาทิตย์ รถก็หมด โดยเราได้โควตามา 3 คัน ซึ่งก็มีลูกค้าซื้อไปหมดแล้วเช่นกัน" นายวินธรกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการรื้อแผนการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการออก ไปตามจังหวัดหัวเมืองอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต กลับมาพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากทั้ง 2 จังหวัดถือเป็นพื้นที่มีศักยภาพ มีกำลัง ซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติ ส่วนรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเป็นเมื่อใด

และต้องยอมรับว่า วันนี้ ในส่วนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ยังคงมีคำถามค่อนข้างมาก ในเรื่องของราคาจำหน่าย รถปอร์เช่ในประเทศไทยกับต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างกันค่อนข้างมาก เนื่องจากรถที่เรานำเข้ามาต้องจ่ายภาษีสูงถึง 328% ซึ่งมีลูกค้าบางกลุ่มยังไม่เข้าใจ

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ปอร์เช่ บ็อกซ์สเตอร์ สไปเดอร์ แรง ! ...เต็มพิกัด

ปอร์เช่ บ็อกซ์สเตอร์ สไปเดอร์ แรง ! ...เต็มพิกัด
บริษัท ทีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายสุดยอดยนตรกรรมชั้นนำจากต่างประเทศ นำเข้าซูเปอร์คาร์สุดหรู ปอร์เช่ บ็อกซ์สเตอร์ สไปเดอร์ (Porsche Boxster Spyder) รูปโฉมโฉบเฉี่ยวเปิดประทุนด้วยหลังคาผ้า

ปอร์เช่ บ็อกซ์สเตอร์ สไปเดอร์ เปิดประทุนใหม่ล่าสุดนี้ได้รับการออกแบบให้ลู่ลม ด้วยแนวสันหลังคาที่ต่ำ เส้นสายต่อเนื่องกับกระจกหน้า พร้อมด้วยเครื่องยนต์วางกลาง (mid-engine) แบบเบนซินไดเร็กต์อินเจ็กชั่น 6 สูบนอน (บ็อกเซอร์) ความจุ 3,400 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้า ในขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 267 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถทำความเร็วแตะ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลา 5.0 วินาที
แต่ถ้าเป็นโหมด sport chrono package หรือ sport chrono package plus จะขยับขึ้นมาอีกนิดเป็น 4.8 วินาที ติดตั้งร่วมกับ launch control ฟังก์ชั่นหน่วยความจำส่วนบุคคลใน PCM (Porsche Communication Management) สามารถแสดงประสิทธิภาพการประเมินรอบอัตราเครื่อง/วินาทีด้วยเทคโนโลยีของสนามแข่ง ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 9.3 ลิตร/100 กิโลเมตร อีกทั้งมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 7-speed และระบบส่งกำลัง PDK (Porsche-Doppelkupplung) อันเลื่องชื่อของ Porsche
นอกจากความเร็ว แรงด้วยสมรรถนะตามสไตล์ของปอร์เช่แล้ว ทีเอสแอลฯยังมอบความพิเศษสุดด้วยอุปกรณ์แบบครบชุด ได้แก่ พวงมาลัยใหม่ล่าสุดของปอร์เช่ที่มีแผงปุ่มกดขนาดใหญ่อยู่หลังพวงมาลัย (paddle ship) โดยเป็นเทคโนโลยีเดียวกับรถแข่ง สามารถเปลี่ยนเกียร์ง่ายเพียงเสี้ยววินาทีที่กดปุ่ม พร้อมด้วยระบบไฟหน้าซีนอนที่สามารถปรับองศาซ้ายขวาตามระดับพวงมาลัยได้อัตโนมัติ พร้อมทั้งระบบปรับการทำงานของท่อไอเสียให้มีเสียงเบาแบบธรรมดาหรือเสียงดังแบบสปอร์ต โดยการปรับเป็นแบบสปอร์ตทำให้ลมเข้ามาหมุนเวียนมากขึ้นแล้วทำให้การไหลเวียน ไอเสียคล่องตัวและมีการระบายที่ดีขึ้น อีกทั้งยังส่งผลถึงสมรรถนะให้ดีขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นปอร์เช่ บ็อกซ์สเตอร์ สไปเดอร์ ยังมอบประสิทธิภาพความบันเทิงอย่างครบครันด้วยจอสั่งการเครื่องเล่นมัลติมีเดีย

เท่านั้นยังไม่พอ ทีเอสแอลฯยังเพิ่มความหรูหรามีระดับด้วยเบาะที่นั่งแบบสปอร์ตที่มีคำว่า "Boxster Spyder" ติดอยู่บนเบาะหนังอีกด้วย สนนราคาค่าตัวเพียง 8,500,000 บาท สนใจกริ๊งกร๊างเบอร์นี้เลย 0-2269-9999

ที่มา คอลัมน์ เวทีรถใหม่ ประชาชาติธุรกิจ