วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วิธีเลือกซื้อ ฟิล์มกรองแสง

วิธีเลือกซื้อ ฟิล์มกรองแสง
คงใช่เรื่องเกินจริง หรือคิดไปเอง แสงแดดเดี๋ยวนี้มันช่างทั้งร้อน ทั้งแสบกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย และมันส่งผลกระทบโดยตรงกับคนใช้รถอย่างเราๆ ไม่น้อย ใครที่ขับรถออกจากบ้านตอนเช้าเข้าออฟฟิศ แล้วเย็นๆ ขับรถกลับบ้านอาจไม่ได้สัมผัส เหมือนกับคนที่ต้องออกมาทำธุระปะปังกันตอนกลางวันแสกๆ แดดจ้าๆ

ถ้าต้องเจอกับแดดกลางวันจ้าๆ รถที่ไม่มีฟิล์มกรองแสงท่าจะแย่ครับ เพราะฉะนั้นผมอยากแนะนำเกี่ยวกับการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงมาติดมาฝากครับ สำหรับคนที่จะติดใหม่ หรือเปลี่ยนฟิล์มเก่าที่หมดอายุไข

ข้อเท็จจริงคือแสงแดดที่ส่งลงมานั้น ใน 100 ส่วนจะมีองค์ประกอบของรังสีอุลตร้าไวโอเลต 3% แสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 44% และอีก 53 % นั้นเป็นรังสีอินฟราเรด ดังนั้นฟิล์มกรองแสงบางรุ่นแม้จะสามารถป้องกันรรังสีอินฟราเรดได้สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถลดความร้อนจากแสงแดดได้สูงด้วย

การเลือกซื้อฟิล์มมาติดตั้งควรยึดเอาค่าการลดความร้อนรวมจากแสงแดด หรือ Total Solar Energy Rejected ซึ่งน่าจะเป็นค่าที่ถูกต้องที่สุด นอกจากนี้ตอนเลือกฟิล์มกรองแสงโดยวิธีการวัดความร้อนจากแสงไฟสปอร์ตไลท์ ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะแสงแดดกับแสงสปอร์ตไลท์นั้นมันคนละอย่างกันเลย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้วัดกันแสงแดดตรงๆ ไปเลย และใช้เครื่องมือวัดค่าพลังงานความร้อน จะได้ฟิล์มที่ตรงกับความต้องการ

ส่วนความเข้ม หรือสว่างของฟิล์มนั้น ผมแนะนำให้ติดแล้วไม่ทำให้ทัศนวิสัยการขับขี่เสียไป บางทีขับกลางวันยังพอมองเห็น แต่ตกดึกมองไปทางไหนก็มืดไปหมด จะถอยหลังก็ดูแล้วดูอีก ไม่แน่ใจเพราะมองเห็นไม่ค่อยชัด หรือถ้าอยากได้ฟิล์มมืดๆ หน่อยแต่ไม่บังทัศนวิสัย ก็แนะนำให้ติดเหมือนกับรถญี่ปุ่นก็ได้ครับ กระจกบานหน้า และกระจกหน้าต่างคู่หน้าติดความเข้มสัก 20-40 ก็ได้ ส่วนบานหลังจะติดสัก 60-80 ก็ยังได้อย่างน้อยทัศนวิสัย ด้านหน้ายังไม่ลดลงสักเท่าไร

แต่สำหรับคนที่ได้ฟิล์มกรองแสงที่ติดตั้งมาจากศูนย์บริการ ตอนซื้อรถใหม่ ผมแนะนำให้เช็คยี่ห้อดูก่อน แล้วหาโอกาสแวะไปเปรียบเทียบคุณภาพฟิล์มจากร้านประดับยนต์ทั่วไปครับ ถ้าดูแล้วคุณภาพไม่น่าพอใจก็ลองเจรจาขอเปลี่ยน หรือถ้าพนักงานขายไม่ยอมให้เปลี่ยน บางทีอาจต้องยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดหน่อย เพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพ จะได้ไม่ต้องใช้ไปหงุดหงิดไปครับ

เรื่องยี่ห้อกับราคา ก็ดูกันตามความเหมาะสมครับ เพราะฟิล์มคุณภาพดี ราคาจะใกล้เคียงกัน ห่างกันไม่กี่ร้อยบาทครับ

ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์