วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Dacia Duster ตัวลุยจากหลังม่านเหล็ก

Dacia Duster ตัวลุยจากหลังม่านเหล็ก ถ้าเป็นเมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้ว ชื่อของดาเซียอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคนทั่วโลกเท่าไร เรียกว่าถ้าไม่ใช่ประเทศในแถบยุโรปตะวันออกแล้ว ถ้าได้ยินใครเอ่ยชื่อนี้ออกมาแล้ว เป็นต้องร้องถามให้บอกชื่อซ้ำอีกครั้งอย่างแน่นอน

แต่สำหรับปัจจุบัน นับตั้งแต่การเปิดตลาดรถยนต์ราคาประหยัดด้วยรุ่นโลแกน แบรนด์รถยนต์จากโรมาเนียภายใต้เจ้าของใหม่อย่างเรโนลต์แห่งฝรั่งเศสกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่เฉพาะในตลาดหลักที่เป็นตลาดรถยนต์เกิดใหม่อย่างอินเดียหรือบราซิลเท่านั้น แม้แต่ในตลาดยุโรปตะวันตกเองก็ให้การยอมรับรถยนต์จากค่ายดาเซียด้วยเช่นกัน
นอกจากการรุกตลาดรถยนต์แล้ว ทางดาเซียยังส่งผลผลิตใหม่ล่าสุดออกลุยตลาดเอสยูวีด้วยเช่นกัน กับรุ่นดัสเตอร์ ซึ่งเป็นเอสยูวีขนาดซับคอมแพ็กต์ที่พัฒนาอยู่บนพื้นฐานเดียวกับเก๋งรุ่นโลแกน และซานเดโร โดยทางดาเซียพร้อมส่งขายในตลาดแล้วหลังจากที่เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ดาเซียเป็นแบรนด์รถยนต์ของโรมาเนียที่ถูกก่อตั้งในปี 1966 จากความช่วยเหลือของเรโนลต์ ก่อนที่เรโนลต์จะเข้าเทคโอเวอร์กิจการมาอยู่ในเครือเมื่อปี 1999 เพื่อใช้แบรนด์นี้เจาะตลาดรถยนต์ราคาประหยัดในประเทสกำลังพัฒนา เช่น ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, ละตินอเมริกา รวมถึงเอเชีย ซึ่งหลังจากทำตลาดไปได้พักหนึ่งปรากฎว่ากระแสความต้องการรถยนต์ราคาประหยัดมีขึ้นมาก ทำให้เรโนลต์จัดการนำดาเซียเข้ามาเปิดตลาดยุโรปตะวันตกอย่างเป็นทางการ
สำหรับดัสเตอร์ถือเป็นทางเลือกที่ 3 ต่อจากโลแกน เก๋ง 4 ประตู และซานเดโร แฮทช์แบ็ก 5 ประตู ตัวรถได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกโดยทางทีมออกแบบเรโนลต์ในยุโรป และถูกบนพื้นตัวถังในรหัส BO ร่วมกับรถยนต์รุ่นซานเดโร ขณะที่ตัวถังทรง 5 ประตูมีความยาว 4,310 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,630 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,673 มิลลิเมตร
4 ทางเลือกของการขับเคลื่อนโดยอยู่บนพื้นฐานของขุมพลังบล็อก 4 สูบเรียงแบ่งเป็นเบนซินเพียงรุ่นเดียว คือ 1,600 ซีซี 105 แรงม้า ที่ 5,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.1 กก.-ม. ที่ 3,750 รอบ/นาที ส่วนที่เหลืออีก 3 รุ่นเป็นเทอร์โบดีเซลที่มีความจุ 1,500 ซีซี แต่มีให้เลือก 3 ระดับกำลังขับเคลื่อน คือ 86 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.4 กก.-ม. ที่ 1,900 รอบ/นาที ตามด้วย 107 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที และ 110 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. ที่ 1,750 รอบ/นาที
งานนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวลุยแบบสร้างภาพ หรือแค่ยกสูงด้วยตัวถังในสไตล์เอสยูวีเหมือนกับบางรุ่น แต่ทางดาเซียนำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ 4WD LOCK มาใช้ โดยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อนี้มีการทำงานคล้ายกับที่ใช้อยู่ในนิสัน X-TRIAL คือ เมื่อขับอยู่บนเส้นทางปกติ จะเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นหลักเพื่อความประหยัดน้ำมัน และจะเปลี่ยนมาเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติเมื่อมีการตรวจจับว่าสภาพเส้นทางมีความเปียกลื่น และมีปุ่มกดเพื่อเลือกระบบ 4WD LOCK สามารถล็อกการกระจายแรงบิดแบบ 50:50% ระหว่างล้อหน้าและหลังได้ หากต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการลุยอีกระดับ
แต่ถ้าไม่สนใจระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ชอบขับรถยนต์ตัวถังสไตล์แบบนี้ ทางดาเซียก็มีรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเพียงอย่างเดียวเตรียมเอาไว้สนองตอบความต้องการด้วย
ยุโรปจะเป็นตลาดแรกที่ได้สัมผัส ซึ่งทางดาเซียจะส่งขายด้วยราคาเริ่มต้น 11,900 ยูโร หรือ 535,000 บาท จากนั้นในปีหน้าจึงจะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดแห่งอื่นๆ ทั่วโลก โดยเน้นไปที่อินเดีย และบราซิลซึ่งถือเป็นตลาดหลักของรถยนต์แบรนด์นี้

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

New Hyundai Sonata 2.0T เบ่งกล้ามให้ขุมพลัง 2.0

New Hyundai Sonata 2.0T เบ่งกล้ามให้ขุมพลัง 2.0 กระแสการนำระบบอัดอากาศมาใช้กับเครื่องยนต์ที่มีซีซีน้อยเพื่อให้มีเรี่ยวแรงหรือพละกำลังเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องยนต์ที่มีทั้งจำนวนกระบอกสูบและซีซีเยอะกว่า แต่มีความประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ซีซีน้อย ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ฮุนไดเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายล่าสุดที่นำเสนอเทคโนโลยีนี้ผ่านทางรถยนต์ครอบครัวรุ่นนิยมอย่างโซนาตา ซึ่งแม้ว่าจะมากับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงที่มีความจุแค่ 2,000 ซีซี แต่เมื่อกางตารางทางเทคนิคดูจะพบว่าจำนวนม้าในคอกมีเยอะแบบไม่ธรรมดา

ความนิยมในแนวทางนี้เป็นผลมาจากการมองหาความประหยัดน้ำมันแต่คงสมรรถนะในการขับขี่ โดยก่อนหน้านี้ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,800 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ ที่เบ่งกล้ามได้ในระดับ 143-192 แรงม้า ก่อนที่แนวคิดนี้จะมาโด่งดังกับโฟล์คฯ ซึ่งเปิดตัวเครื่องยนต์ TSI หรือ Twincharger โดยจับระบบอัดอากาศมาติดตั้งในเครื่องยนต์บล็อกเล็ก แม้ว่าจะมีความจุเพียงแค่ 1,400 ซีซีเท่านั้น แต่มีระดับของแรงม้าให้เลือกตั้งแต่ 140 ตัวไปจนถึงในระดับ 180 ตัวกันเลยทีเดียว จากนั้นฟอร์ดจึงนำแนวคิด EcoBoost มาใช้และพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานได้จริงกับเครื่องยนต์ 4 สูบ และวี6

จุดเด่นของแนวคิดนี้คือ ความประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าเท่ากันแต่ทว่ามีจำนวนกระบอกสูบและซีซีเยอะกว่า ซึ่งถ้าเท้าขวาไม่หนักชนิดกดไม่ยั้งจนระบบอัดอากาศทำงานตลอด ความประหยัดน้ำมันที่ได้จากเครื่องยนต์ก็จะใกล้เคียงหรือมากกว่าเครื่องยนต์ที่มีความจุเท่ากัน แต่ถ้าอยากซิ่งก็กดได้เต็มๆ แบบไม่ต้องเกรงใจเพื่อให้เทอร์โบทำงาน

ดังนั้นเครื่องยนต์จึงมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน เพราะถ้าอยากได้ม้าเยอะก็ไม่จำเป็นจะต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความจุหรือจำนวนกระบอกสูบเยอะอีกต่อไป

สำหรับฮุนได โซนาต้า 2.0T มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซีบล็อกใหม่ แถมด้วยระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ GDI และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เพื่อช่วยในการอัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ และปรับบูสต์เอาไว้สูงถึง 17.4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว พร้อมเวสต์เกตทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้การควบคุมบูสต์ของเทอร์โบมีความแม่นยำมากขึ้น และปรับอัตราส่วนการอัดเอาไว้ที่ 9.5 : 1
ผลคือ กำลังสูงสุดในระดับ 274 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 37.1 กก.-ม. ที่ 1,800-4,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์แบบวี6 ที่มีความจุในระดับ 3,000 หรือ 3,500 ซีซีเลยทีเดียว หรือเครื่องยนต์มีแรงม้าต่อลิตรอยู่ที่ 137 แรงม้าต่อ 1 ลิตรส่งกำลังสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมโหมด SHIFTRONIC สำหรับเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เอง ส่วนความประหยัดสำหรับการขับในเมืองอาจจะไม่หวือหวามาก เพราะอยู่ที่ 8.9 กิโลเมตรต่อลิตร แต่เมื่ออยู่บนไฮเวย์หายห่วงขยับขึ้นมาเป็น 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร
การพัฒนามีขึ้นบนตัวถังแบบ 4 ประตูของโซนาต้าใหม่ในรหัส YF ที่ได้รับการปรับปรุงและเสริมแต่งเพื่อความสปอร์ตในอีกระดับ ทั้งล้อแม็ก 18 นิ้ว ปลายท่อไอเสียออก 2 ฝั่งซ้าย-ขวาและมูนรูฟแบบพานอรามิกควบคุมด้วยไฟฟ้า ขณะที่ระบบช่วงล่างมีการปรับความแข็งโดยเฉพาะในเรื่องการบิดตัวและความหนึบให้ดีขึ้นจากรุ่นมาตรฐาน 25 และ 17% ตามลำดับ

การทำตลาดจะมีขึ้นในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้พร้อมกับรุ่นไฮบริด ส่วนราคายังไม่มีเปิดเผยออกมา แต่เชื่อว่าน่าจะแพงกว่า 24,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 816,000 บาทซึ่งเป็นรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 2,400 ซีซีไม่มาก

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โฟล์คฯ ควักเงิน ซื้อหุ้นสำนักออกแบบดัง

โฟล์คฯ ควักเงิน ซื้อหุ้นสำนักออกแบบดัง โฟล์คสวาเกน เอจี เทงบซื้อหุ้นจำนวน 90% ของสำนักออกแบบชื่อดัง Italdesign Giugiaro S.p.A. เข้ามาอยู่ในเครือเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการายกระดับตัวเองให้ขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 1 ของโลกภายในปี 2018 โดยเชื่อว่าการเข้ามาของอิตัลดีไซน์จะช่วยเติมเต็มและสร้างสีสันให้กับรถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่อยู่ในเครือ

สำนักออกแบบอิตัลดีไซน์มีจิออร์เจ็ตโต จุยเจียโรถือหุ้นอยู่ ซึ่งนักออกแบบวัย 71 ปีผู้นี้สร้างชื่อเสียงอย่างมากกับผลงานสร้างสรรค์ด้านการออกแบบรถยนต์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และในปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานของบริษัทแห่งนี้ ส่วนฟราบริซิโอ ลูกชายวัย 45 ปีของเขาอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบและผลิตโมเดล

การซื้อหุ้นครั้งนี้ ทางโฟล์คฯ จะควักเงินในจำนวนที่ไม่มีการเปิดเผยเพื่อซื้อ 90% แต่จะทำการทั้งหมดผ่านทางลัมบอร์กินี บริษัทรถยนต์ในเครือ ส่วนอีก 10% ทางจุยเจียโรยังถือเอาไว้ และทั้งคู่จะยังทำงานกับบริษัทแห่งนี้ต่อไปหลังจากที่มีการซื้อหุ้นไปแล้ว

อิตัลดีไซน์ถูกก่อตั้งขึ้นมาในปี 1968 จากความร่วมมือระหว่างจุยเจียโรกับมอนโต อัลโดวานี่ ในปัจจุบันมีพนักงานจำนวน 975 คนทำงาน และโฟล์คฯ ก็เคยเป็นลูกค้าที่จ้างสำนักแห่งนี้ออกแบบ เช่น กอล์ฟ และซิร็อคโค่รุ่นแรก รวมถึงสปอร์ตต้นแบบรุ่น W12 ที่เปิดตัวในปี 1997-1998
ว่ากันว่าการซื้อหุ้นในครั้งนี้เป็นการดึงเอาอิตัลดีไซน์เข้ามาร่วมทำงานเพื่อรองรับกับการขยายตัวของโฟล์ค ซึ่งมีแบรนด์รถยนต์อยู่มากหน้าหลายตา ซึ่งเฉพาะปี 2010 เพียงปีเดียว โฟล์คตั้งเป้าเปิดตัวรถยนต์ทั้งโมเดลเชนจ์ ไมเนอร์เชนจ์ รวมถึงรุ่นพิเศษต่างๆ รวมแล้ว 60 รุ่นจากแบรนด์ที่อยู่ในเครือซึ่งก็รวมถึงปอร์เช่ด้วย

ทางด้านอิตัลดีไซน์เองก็ไม่ได้เผยถึงรายละเอียดที่ชัดเจนของการขายหุ้นครั้งนี้ แต่ไม่น่าเกี่ยวกับผลประกอบการที่ไม่ดี เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้บริษัทไม่ได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของกำไรหรือขาดทุน แต่ในปี 2008 ที่ผ่านมา ผลประกอบการมีตัวเลขเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2007 ถึง 6.2% อยู่ที่ 136 ล้านยูโร หรือ 6,300 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเผยของจิออร์เจ็ตโต้ จุยเจียโรในวันแถลงข่าวกล่าวเป็นนัยๆ ว่า ทางบริษัทต้องการความมั่นคง และการอยู่ในร่มเงาของโฟล์คสวาเกนน่าจะการันตีเรื่องนี้ได้ โดยจุดเชื่อมต่อของความสัมพันธ์ในครั้งนี้น่าจะผ่านทางเฟอร์ดินันด์ เพี๊ยค บอสส์ใหญ่ของโฟล์คฯ ที่ในปี 1972 เคยทำงานร่วมกับอิตัลดีไซน์อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะย้ายมานับงานในออดี้ และมีความสนิทสนมกับทางจิออร์เจ็ตโต้

นอกจากนั้น อิตัลดีไซน์ก็ออกแบบรถยนต์รุ่น 80 ของออดี้ ที่เพี๊ยครับผิดชอบโครงการอยู่ และมีส่วนทำให้รถยนต์รุ่นนี้ประสบความสำเร็จในด้านยอดขาย โดยจิออร์เจ็ตโต้ จุยเจียโรเคยได้รับเลือกให้เป็นนักออกแบบที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 ในปี 1999 เช่นเดียวกับที่เพี๊ยคได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารในอุตสาหกรรมรถยนต์แห่งศตวรรษ

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Aston Martin Rapide พร้อมโลดแล่นบนท้องถนน

Aston Martin Rapide พร้อมโลดแล่นบนท้องถนน แตกแนวคิดก่อนใครเพื่อน แต่กว่าจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าได้ เรียกว่าแฟนๆ ของแอสตัน มาร์ตินต้องร้องเพลงรอกันนานเอาเรื่อง เพราะนับจากการที่ค่าย AM เผยแนวคิดการผลิตสปอร์ต 4 ประตูระดับหรูออกมาเมื่อปี 2006 กับต้นแบบที่งานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ รถยนต์คันจริงเพิ่งจะถูกทำคลอดออกมาจากไลน์ผลิตเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เองดูผ่านๆ แล้วตัวรถอาจไม่มีความสำคัญอะไร แต่ทว่านักวิเคราะห์เชื่อว่าจะเป็นผลผลิตหลักที่จะช่วยผลักดันให้แอสตัน มาร์ตินสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคง รวมถึงการนำพาบริษัทให้พบกับตัวเลขสีดำบนบัญชีรายรับรายจ่ายได้สักที

เรียกว่ามีสำคัญถึงขนาดที่เดวิด ริชาร์ดส์ และกลุ่มร่วมทุนของเขาที่ร่วมกันลงขันซื้อหุ้นเสียงส่วนใหญ่ของแอสตัน มาร์ตินมาจากฟอร์ดเมื่อเดือนมีนาคม 2007 ด้วยวงเงิน 475 ล้านปอนด์ หรือ 24,000 ล้านบาท จัดการเปิดไฟเขียวให้โครงการเดินหน้าผลิตทันที และการเข้ามาของกลุ่มธุรกิจใหม่นี้ถูกมองว่าจะช่วยชุบชีวิตให้กับแอสตัน มาร์ติน

เพราะหลังจากที่ซื้อหุ้นเสียงส่วนใหญ่มาแล้ว พวกเขาจัดการปรับปรุงระบบใหม่ของแอสตัน มาร์ติน โดยเฉพาะการเซ็นสัญญาร่วมมือกับโรงงาน Magna Steyr แห่งออสเตรียเข้ามาสนับสนุนการผลิตเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2008 โดยโรงงานแห่งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระในการผลิตรถยนต์ของแอสตันมาร์ตินจากโรงงานเกย์ดอน ประเทศอังกฤษ ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 2,000 คันต่อปี ทั้งหมดเป็นการผลิตความสปอร์ต 4 ประตูระดับหรูมาดสปอร์ตรุ่นนี้

นอกจากนั้น แอสตัน มาร์ตินยุคใหม่ยังขยายตัวในการเจาะตลาดทั่วโลกด้วยการเพิ่มจำนวนดีลเลอร์ในยุโรป เช่นเดียวกับการบินข้ามน้ำไปเปิดโชว์รูมแห่งแรกในประวัติศาสตร์ 97 ปีของบริษัทที่เมืองปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยในปัจจุบันแอสตัน มาร์ตินมีดีลเลอร์ทั่วโลกจำนวน 125 แห่งใน 34 ประเทศทั่วโลก เพื่อรองรับกับการขยายตัวในอนาคต รวมถึงการปัดฝุ่นนำชื่อแบรนด์ลากอนดา (Lagonda) ที่โด่งดังในอดีตกลับมาขายอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายรุกตลาดในปี 2012

สำหรับตัวของราปิดเอง ถูกเปิดตัวครั้งแรกในฐานะต้นแบบเมื่อปี 2006 ในยุคที่ฟอร์ดยังถือครองสิทธิ์บริษัทและอยู่ในร่มเงาของกลุ่ม PAG หรือ Premier Automotive Group เป็นการรวมตัวกันของแบรนด์รถยนต์หรูอย่างยุโรปที่อยู่ในเครือฟอร์ด เช่น วอลโว่, แลนด์ โรเวอร์ และจากัวร์

การเปิดตัวของราปิดช่วยทำให้เกิดกระแสความต้องการใหม่ของรถยนต์ระดับหรูที่แตกต่างจากบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาส กับความหรูที่เพียบพร้อมด้วยความสปอร์ตและสมรรถนะ ปอร์เช่จัดการพัฒนาโปรเจ็กต์พานาเมอราตามออกมาทันที และชิงตัดหน้าขายไปก่อนแอสตัน มาร์ติน

ขณะที่ลัมบอร์กินีก็เปิดตัวต้นแบบรุ่นเอสทอร์ก ซูเปอร์ซีดาน 4 ประตูตามออกมาเมื่อปี 2008 และทำท่าว่าจะผลิตขายในอนาคต แต่จากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2009 ทำให้โครงการนี้ถูกพับเอาไว้ก่อน แต่จะชั่วคราวหรือตลอดไป ยังไม่มีการเปิดเผย

ข้อดีของแอสตัน มาร์ตินที่ส่งผลดีต่อการลดต้นทุนการผลิตคือ การที่รถยนต์ทุกรุ่นที่อยู่บนโชว์รูมถูกพัฒนาบนพื้นตัวถังเดียวกันที่เรียกว่า VH หรือ Vertical Horizontal ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ตรุ่นเล็กในตระกูล Vantage ที่จะไปบุกตลาดสหรัฐอเมริการวมถึงแคนาดาและละตินอเมริกาเป็นครั้งแรกในปลายปีนี้ด้วยรุ่น Vantage V12 หรือรุ่นใหญ่อย่างตระกูล DB อย่าง DB9 และ DBS รวมถึงซีดานมาดสปอร์ตอย่างราปิด

อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดตัวต้นแบบในปี 2006 แต่กว่าโปรเจ็กต์นี้จะกลายเป็นของจริงแบบสัมผัสได้ก็ล่วงเข้าสู่ปลายปี 2009 เมื่อแอสตัน มาร์ตินนำคันจริงสำหรับขายในตลาดออกจัดแสดงที่งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ เดือนกันยายน 2009 และลูกค้ายังต้องรออีกร่วมครึ่งปีกว่าที่มีการส่งมอบรถยนต์ได้...แต่จะเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าหรือไม่ ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป

ในเรื่องรายละเอียดของตัวรถถูกพัฒนาบนรูปลักษณ์ในสไตล์เดียวกับรถสปอร์ตของแอสตัน มาร์ติน มีความเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่พร้อมกับลายซี่กระจังในแบบแนวนอน แถมประตู 4 บานเปิดขึ้นในลักษณะเฉียงไปทางด้านหน้าเล็กน้อย หรือที่เรียกกันว่า Swan Wing Door และโครงสร้างตัวถังผลิตจากอะลูมิเนียมเพื่อประโยชน์ในเรื่องของการลดน้ำหนักตัวถัง

ตัวรถแบบฟาสต์แบ็คมาในแบบ 4 ที่นั่งพร้อมกับพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีความจุในระดับ 301 ลิตร แต่เมื่อต้องการพื้นที่ในการบรรทุกก็สามารถพับเบาะหลังลงได้ โดยใช้ปุ่มกด เบาะหลังจะพับลงด้วยระบบไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ทำให้พื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 701 ลิตร ขณะที่ฝากระโปรงหลังของตัวรถในแบบฟาสต์แบ็กยังเอื้อประโยชน์ในเรื่องของการนำสัมภาระเข้าและออกจากห้องโดยสาร เพราะฝากระโปรงหลังรวมชุดเป็นชิ้นเดียวกับกระจกบังลมหลัง ทำให้เปิดได้กว้างขึ้น

เช่นเดียวกับพื้นตัวถัง ในส่วนของเครื่องยนต์ ทางราปิดก็ได้รับเทคโนโลยีมาจากรถสปอร์ต โดยยกเครื่องยนต์วี12 ของสปอร์ตใหย่ตระกูล DB มาใช้ เป็นเครื่องยนต์วี12 ประกอบด้วยมือ ที่มีความจุ 6000 ซีซี. มีกำลังสูงสุด 470 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 61.14 กก.-ม. ที่ 5,000 รอบ/นาที และส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมโหมด Touchtronic 2 ที่ผู้ขับสามารถเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ผ่านทางแป้น หรือ Paddle Shift ที่อยู่ตรงคอพวงมาลัย

ในอังกฤษ ทางแอสตัน มาร์ตินตั้งราคาเอาไว้ 139,950 ปอนด์ หรือ 6.8 ล้านบาท ใครที่สนใจอยากขับ สั่งจองกันได้เลย เพราะรถเริ่มส่งมอบกันแล้ว
ที่มา โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

ดุดันสุดในเซ็กเมนท์ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ จีที

ดุดันสุดในเซ็กเมนท์ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ จีที แลนเซอร์อีเอ็กซ์ น่าจะเป็นรถที่ดูเร้าใจรุ่นหนึ่งในเซ็กเมนท์รถยนต์นั่งขนาดเล็กในความคิดของผม เหตุผลคือ รูปร่าง หน้าตา มันถูกถอดแบบมาจากมิตซูบิชิ อีโวลูชั่น X รถยนต์สมรรถนะสูงนั่นเอง ยิ่งเป็นรุ่นท้อป 2.0 GT มีการแตกแต่งเพิ่มเติมทั้งเสกิต สปอยเลอร์ กับยางขนาด 18 นิ้ว ทำให้มันเป็นรถที่ดุดันมากทีเดียวถ้าเอาแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 2.0 ลิตรมาเทียบกับ อัลติสรุ่น สปอร์ตติโว่, ซีวิค 2.0 ลิตร แลนเซอร์อีเอ็กซ์ และมาสด้า 3 รุ่นท้อป น่าจะได้คะแนนความสปอร์ตมากหน่อย ด้วยครีบ สปอยเลอร์ทรงสูง ที่ดูเด่นขึ้นมา กระจังหน้าของมันก็ดูแปลกตากว่า การออกแบบรถยนต์ในยุคนี้กระจังหน้าจะคล้ายกันคือ ทรงลู่ลมเหมือนลิ่ม ส่วนปลายกระจังหน้าจะไม่ใหญ่โตนัก แต่เจ้านี่มีกระจังหน้าขนาดใหญ่ เหมือนได้รับอิทธิผลมาจากรถยนต์ยุโรปหลายๆ รุ่น ส่วนตัวแล้วมันดูคล้ายๆ กับกระจังหน้าวอลโว่

สิ่งที่ยืนยันอิทธิผลจากรถยุโรปคือ ก้านเบรกมือ แทนที่จะวางในตำแหน่างใกล้ๆ คนขับ กลับไปอยู่ด้านผู้โดยสารหน้าเสียอย่างนั้น แน่นอนมันยังใช้งานได้สะดวก แต่ผมว่าอยู่ฝั่งคนขับน่าจะเหมาะกว่า อันนี้ไม่ว่ากันเพราะไม่มีผลต่อสมรรถนะของเบรกมือ นอกจากพวกขาดริฟท์ทั้งหลายเท่านั้น

Paddle Shiftหรือแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกคึกคักขึ้นมา ยามอยู่หลังพวงมาลัย ผมสามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงได้ตามต้องการ เรียกกำลังเสริมได้ตลอด หรือจะเรียกใช้เอนจิ้นเบรก เมื่อต้องการช่วยลดความเร็ว ก็สะดวก

เครื่องยนต์เบนซิน MIVEC IIขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 154 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 198 นิวตันเมตร ให้การตอบสนองเร้าใจไม่แพ้คู่แข่ง เกียร์อัตโนมัติ INVECS-III CVT อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นอีกจุดเด่น เพราะมันให้ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์มากที่สุดในเซ็กเมนท์นี้ก็ว่าได้

เรื่องสมรรถนะไม่มีอะไรน่าติดใจ แรงม้าที่ได้มา บวกกับเกียร์อัตโนมัติที่สามารถเปลี่ยนได้เองเหมือนกับเกียร์ธรรมดา พร้อมจะเปลี่ยนถนนให้เป็นสนามแข่งได้เหมือนกัน สปอยเลอร์หลังทรงสูง ไม่ใช่ช่วยให้รูปร่างหน้าตาดีอย่างเดียว ยามที่พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง มันสามารถกดท้ายรถให้มั่นคงยิ่งขึ้น

ผมชอบมันตรงที่ภาพรวมของพละกำลังได้จากรอบเครื่องยนต์ที่ไม่สูงนัก ช่วงที่รอบเครื่องยนต์ 3,500 รอบ บนเกียร์ 6 เข็มความเร็วขึ้นไปแตะ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เลวทีเดียว แน่นอนมันจะมีเหลือแรงเหลือให้ผมอีก แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเร็วกว่านี้ แม้มันยังให้ความรู้สึกมั่นคงกับผมอยู่ตลอด ด้วยช่วงล่างอิสระ
แม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหน้า และอิสระมัลติลิงค์ด้านหลัง

ก่อนหน้าการได้ขับทดสอบเจ้าแลนเซอร์อีเอ็กซ์ 2.0 จีที มีคนบอกกับผมว่า เจ้านี่เก็บเสียงไม่ค่อนเก่งนัก ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ความเร็วระดับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เพียงพอจะรู้สึกได้ ส่วนหนึ่งผมคิดว่าน่าจะมาจากเสียงดอกยาง อีกส่วนหนึ่งคือลมปะทะ ซึ่งเสียงจากอย่างแรกน่าจะดังกว่า

ระบบต่างๆ ที่มิตซูบิชิเติมให้แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ก็มีหมายๆ อย่าง เช่น ระบบไฟ้หน้า Adaptive Front-Lighting System เพิ่มความสว่างด้านข้างขณะเลี้ยว ระบบปรับระดับลำแสงไฟหน้า ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ไฟตัดหมอก เพื่อให้มันมีความคุ้มค่ามากขึ้น

แน่นอนมันไม่ได้แรง หรือดุดันเท่ากับโมเดล มิตซูบิชิ อีโวลูชั่น X แต่เพียงแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เพราะรูปร่างหน้าที่คล้ายๆ กัน บวกสมรรถนะที่พอเพียงกับมือซิ่งสมัครเล่น และจ่ายในราคาพอๆ กับรถในเซ็กเมนท์เดียวกัน 1,034,000 บาท แต่ได้รถที่ดูดุดันที่สุดในเซ็กเมนท์

ที่มา โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

ศึกข้ามรุ่น Bugatti Veyron vs Nissan GT-R หรูใหญ่กระทบไหล่หล่อดุ ถนนเส้นนี้ไม่ได้มีแค่หนึ่ง


ศึกข้ามรุ่น Bugatti Veyron vs Nissan GT-R หรูใหญ่กระทบไหล่หล่อดุ ถนนเส้นนี้ไม่ได้มีแค่หนึ่ง
Dragtimes บริษัทผลิตสื่อสัญชาติรัสเซียได้ทำการบันทึกภาพวิดีโอการปะทะกันระหว่าง Bugatti Veyron กับเจ้าก็อดซิล่าจากแดนปลาดิบ Nissan GT-R ที่ใครๆก็รู้ว่าซุปเปอร์คาร์ทั้งสองรุ่นนี้เป็นคนละระดับทั้งในแง่ของตลาด สมรรถนะ และราคา แต่ดูเหมือนว่า GT-R จะกลายเป็นตัวเปรียบเทียบหรือ Benchmark สำหรับซุปเปอร์คาร์ดังๆที่มีอยู่ในท้องตลาดไปโดยปริยาย โดยงานนี้หน้าที่เปรียบเทียบกับหรูใหญ่ Bugatti Veyron เป็นของ GT-R R35 ซึ่งเป็นรุ่นปัจจุบัน

ด้วยกำลังของเครื่องยนต์ V6 ทวินเทอร์โบ 474 แรงม้า ขับเคลื่อนแบบ AWD พร้อมระบบ Twin-Clutch ที่สามารถกระชากม้าเหล็กที่อยู่นิ่งกับที่ไปแตะระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลาต่ำกว่า 4 วินาที ซึ่งเคยทำให้ Porsche 911 เสียศูนย์มาแล้ว ดูเหมือนว่าเหลือเฟือบนท้องถนนไม่ว่าจะที่ใดในโลก (แต่ในคลิปบอกว่า 730 แรงม้า ซึ่งคงมีการปรับแต่ง) แต่การที่ต้องไปบดกับเครื่องยนต์ของ Bugatti Veyron ที่มีกำลัง 987 แรงม้า พร้อมระบบ AWD เกียร์ Double Clutch ที่มีอัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 3 วินาทีแล้ว ก็ต้องบอกว่าเกินตัว ศึกนี้จึงเป็นการบดถนนประกาศศักดาผลัดกันคนละทีสองทีพอหอมปากหอมขอ ให้รู้ว่่าครั้งหนึ่งซุปเปอร์คาร์สองรุ่นนี้เคยเบียดกันบนถนนเส้นเดียวกันมาแล้ว

แต่การที่ใครๆไม่ว่าจะใหญ่ หรือใหญ่กว่า ขอมากระทบไหล่ GT-R บนท้องถนนอยู่เสมอ นั่นก็หมายความว่า Nissan GT-R ไม่ธรรมดาจริงๆ

ที่มา: dragtimes.info , www.autospinn.com

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ ตัวแรงรุ่นเล็ก

เอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ ตัวแรงรุ่นเล็ก เอ็บท์ เป็นสำนักแต่งรถชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1896 โดย โยฮานน์ เอ็บท์ แห่งเมืองเคมพ์เทน ประเทศเยอรมนี แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อนนั้นยังไม่มีรถยนต์ถูกสร้างขึ้น ดังนั้นรถที่ โยฮานน์ เอ็บท์รับจ้างแต่งในยุคนั้นก็คือรถม้า นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะปรับปรุงให้ดูหรูหราขึ้นแล้วก็ยังสามารถใช้งานได้ดีขึ้น หลังจากนั้น เอ็บท์หันมาเอาดีทางการแต่งรถยนต์แทนและในโอกาสฉลองครบรอบ 5 ทศวรรษแห่งความเป็นผู้นำการโมดิฟายรถยนต์ระดับโลก เอ็บท์จึงจับเอา เจ้าโฟลค์สวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ รุ่นที่ 6 มาปรับแต่งให้แรงเร้าใจขึ้นด้วยนวัตกรรมล่าสุดจากประสบการณ์ที่สั่ง สมในการปรับแต่งเพิ่มสมรรถนะให้กับ กอล์ฟ จีทีไอ 5 รุ่น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 เป็นต้นมา
สำหรับชุดแอโร่พาร์ทที่ใช้ในการตกแต่งตัวถังโดยรอบ เอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ นั้นจะประกอบไปด้วย กระจัง หน้าแบบรังผึ้ง กันชนหน้าใหม่ที่ออกแบบให้ช่องรับลมมีขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมชุดไฟตัดหมอกและไฟ แอลอีดี ด้านล่างกันชนหน้าทำเป็นสปอยเลอร์ในตัว ชายล่างใต้แนวประตูติดสเกิร์ต รอบคัน ตัวกันชนหลังถูก ออกแบบมารับกับปลายท่อไอเสียทรงสปอร์ตคู่ ซ้ายขวาและมีสปอยเลอร์หลังคาเหนือประตูท้าย

ห้องโดยสารยังคงใช้แบบเดิม ๆ ของตัว กอล์ฟ จีทีไอ ดูสวยมีสไตล์ด้วยโทนสีดำตัดกับขอบคิ้วโครเมียมตามจุดต่าง ๆ ตัววงพวงมาลัย คันเกียร์ และเบรกมือหุ้มหนังแท้สีดำแต่เย็บขอบหนังด้วยด้ายแดง ที่ก้านพวงมาลัยมีปุ่มควบคุมระบบแสดงข้อมูลของรถ ระบบเครื่องเสียง และมีก้านเปลี่ยนเกียร์อยู่ด้านหลัง ตัวเบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ตและมีปีกเบาะช่วยล็อกลำตัวกับต้นขาไว้ให้นั่ง ได้อย่างมั่นคง
ขุมพลังมีให้เลือกได้ 2 แบบ คือ รุ่นเพาเวอร์ เอส ตัวแรงสุด 300 แรงม้า กับ รุ่นเพาเวอร์ 260 แรงม้า ซึ่งเป็นตัวที่ยืมมาลองขับในอาทิตย์นี้ โดยช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งไปถึงความเร็วที่ 100 กม./ชม. ไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่ช่วงความเร็วสูง จะให้ความรู้สึกที่สุดยอดกว่าตัว
เดิม

ชัดเจนเพราะแรงบิดสูงสุดของเอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ นั้นมากถึง 360 นิวตัน-เมตร (เดิม ๆ 280 นิวตัน-เมตร) แถมยังมีมาให้ใช้อย่างต่อเนื่องในช่วงความเร็วรอบที่กว้างมาก ซึ่งถ้าคุณได้เคยประทับใจกับอัตราเร่งช่วง 150 กม./ชม. ขึ้นไปของกอล์ฟ จีทีไอมาแล้ว คุณจะต้องอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้นกับอัตราเร่งในช่วงเดียวกันของเอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ ซึ่งรถจะพาคุณทะลุความเร็วระดับ 200 กม./ชม. ขึ้นได้แบบง่ายดาย
เมื่อเครื่องแรงขึ้น ระบบช่วงล่างและเบรกของเอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอก็ต้องถูกเปลี่ยนใหม่ให้สามารถสยบม้าฝูงใหญ่นี้ได้ด้วย โดยตัวโช้คอัพเปลี่ยนมาใช้แบบสตรัทกลึงเกลียว พร้อมชุดสปริงแต่งด้านหน้าแบบสปริง 2 ชั้นกับสปริงหลังแบบป่องกลาง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในสนามแข่งรถ ทำให้สามารถปรับความสูงต่ำและแข็งอ่อนได้ตามสภาพถนนและความชอบของผู้ขับ ส่วนระบบเบรกจะเปลี่ยนจานเบรกหน้าให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ส่วนล้อก็เปลี่ยนมาใช้ชุดแม็กของเอ็บท์ คู่หน้าขนาด 18 นิ้ว คู่หลัง 19 นิ้ว

ส่วนค่าตัวของเอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ นั้น สำหรับรุ่นเพาเวอร์ เอสจะอยู่ที่ 3.5 ล้านบาท และรุ่นเพาเวอร์อยู่ที่ 3.2 ล้านบาท.

ข้อมูลทางเทคนิค เอ็บท์ กอล์ฟ จีทีไอ
มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,213/1,779/1,469 มม.
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบอินเตอร์คูเลอร์
ความจุกระบอกสูบ 1,984 ซีซี
กำลังสูงสุด 260 แรงม้า ที่ 5,700 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร ที่ 2,600-5,100 รอบ/นาทีี
เกียร์ อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ราคา 3,200,000 บาท

ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์

Brabus Stealth 65 รถแต่งรุ่น One-Off ของ Mercedes-Benz SL 65 AMG Black Series

Brabus Stealth 65 รถแต่งรุ่น One-Off ของ Mercedes-Benz SL 65 AMG Black Series หลายคนเมื่อเห็นรถคันนี้แล้ว ต้องบอกว่าดูคุ้นๆโดยเฉพาะฝาครอบสีดำบนฝากระโปรงหน้า จริงๆแล้วมันก็คือ รถแต่ง Mercedes-Benz SL65 ที่ใช้พื้นฐานของ Brabus Vanish ซึ่ง AutoSpinn เคยนำมาให้ชมไปแล้วในวันก่อน แต่สำหรับคันนี้ Brabus ให้ชื่อว่า Stealth 65 ที่ทำให้ Mercedes-Benz SL65 AMG Black Series ซึ่งจากภาพที่เห็นไม่ใช่สีดำอีกต่อไป นอกจากการใช้สีดำแต่งในบางจุดเท่านั้น
เมื่อเทียบกับรถแต่งรุ่น Vanish แล้ว Stealth แรงกว่า 3.8%
จากเครื่องยนต์ไบเทอร์โบ V12 AMG 6.0 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งทางด้านวิศวกรรมให้ได้กำลังสูงถึง 809 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 1,420 นิวตันเมตรซึ่งเท่ากับแรงบิดสูงสุดของ Vanish เบื้องหลังของความแรงนี้ก็คือ ชุดแต่ง Brabus T65 RS ที่ประกอบด้วยอินเตอร์คูลเลอร์ 4 ชุด ใบพัดเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ระบบไอเสียสมรรถนะสูง และการวาง ECU ใหม่ ความดุโหดยังสะท้อนออกมาผ่านทางโลโก้ Brabus และ Stealth ที่มีติดอยู่ตามตัวรถในหลายจุดรวมถึงที่คาลิปเปอร์เบรคและมาตรวัดด้วย
ความเหมือนอีกอย่างระหว่าง Vanish และ Stealth ก็คือ การมีเจ้าของที่อาศัยอยู่ในดูไบ ดินแดนของมหาเศรษฐีที่รักในการขับซูปเปอร์คาร์เป็นชีวิตจิตใจ จึงไม่แปลกเลยที่รถทั้ง 2 รุ่นนี้เป็นแบบ One-Off คือผลิตออกมาเพียง 1 คันต่อรุ่นเท่านั้น

ที่มา: Brabus , www.autospinn.com

"นิสสัน มาร์ช"พร้อมลุยอินเดียแล้ว

"นิสสัน มาร์ช"พร้อมลุยอินเดียแล้ว นิสสันเดินหน้าลุยตลาดรถยนต์อินเดียแล้ว ประกาศผลิตรถยนต์รุ่นมาร์ชใหม่ หรือจะขายในตลาดอินเดียด้วยชื่อไมครา ส่วนตลาดยุโรปยังต้องร้องเพลงรอกันต่อไป เพราะนิสสันวางแผนเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายนนี้

ไมครา หรือมาร์ชใหม่เปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนในเมืองไทยเปิดตัวเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ขณะที่อินเดียเปิดตัวในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้และเริ่มรับจองทันที แต่กว่าจะส่งมอบได้ต้องรอเดือนกรกฎาคม โดยไลน์ผลิตอยู่ในโรงงานทางตอนใต้ของเมือง Chennai
สำหรับโรงงานแห่งนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างนิสสันกับเรโนลต์ด้วยเงินลงทุน 965.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 33,800 ล้านบาทและจะมีกำลังการผลิต 400,000 คันต่อปี เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อการส่งออก ส่วนการทำตลาดในประเทศอินเดีย ทางนิสสันเผยว่าให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะว่า 70% ของยอดขายในตลาดอินเดียเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และมีทางมารูติ ซูซูกิเป็นเจ้าครองตลาดด้วยรถยนต์อย่างอัลโต้, สวิฟต์ และริตซ์

นอกจากมาร์ชแล้ว ในช่วงต้นปีนี้ มีผู้ผลิตรถยนต์หลายรายเปิดตัวทางเลือกใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอินเดีย เช่น จีเอ็มเปิดตัวเชฟโรเลต บีต ทางด้านฟอร์ดก็เปิดตัวรุ่นฟิโก้ ส่วนโตโยต้ากับรถยนต์รุ่นเอติออสซึ่งถูกมองว่าเป็น Eco Car อีกรุ่นในเมืองไทยจะเปิดตัวในตลาดอินเดียปลายปีนี้

ที่มา http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000072545

Brabus SL65AMG Black Series : คูเป้ 800 แรงม้า

Brabus SL65AMG Black Series : คูเป้ 800 แรงม้า ช้าก่อนสำหรับใครที่กำลังจะอ้าปากต่อว่าหลังจากที่เห็นหัวโปรยของบทความชิ้นนี้ เพราะว่าใครๆ ก็รู้ว่า SL ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์มันเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนชัดๆ คูเป้ซ่ะที่ไหนล่ะ

คำตอบคือ ถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะจริงที่ สายพันธุ์ SL ถืออกำเนิดขึ้นมาเป็นสปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่งตั้งแต่อ้อนแต่ออด แต่ทว่าในช่วงปลายปี 2008 หลังจากที่ SL เจนเนอเรชันที่ 5 มีการปรับโฉมหลังจากขายมาตั้งแต่ปี 2001 ได้ไม่นาน ก็คลอดเวอร์ชันที่เรียกว่า Black Series หรือรุ่นหลังคาแข็งออกมาขาย
คำว่า ‘หลังคาแข็ง’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ชุดหลังคาแข็งแบบถอดได้ที่มักจะมีขายพ่วงหรือเป็นออพชั่นขายแยกสำหรับสปอร์ตเปิดประทุน และก็ไม่ได้เกี่ยวกับหลังคาแข็งพับได้จำพวก Retractable Roof หรือ CC ซึ่งกำลังฮิตกัน แต่เป็น ‘คูเป้’ หลังคาแข็งแท้ๆ จากโรงาน

นี่ก็เลยเป็นคำตอบที่สามารถไขข้อสงสัยในเรื่องนี้
กลับมาที่ SL ตัวแต่งรุ่นนี้ เป็นผลผลิตจากค่ายบราบัส ซึ่งในปัจจุบันเป็นมากกว่าสำนักแต่งแล้ว และได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่ง เพราะพวกเขามักจะเปิดเผยว่ารถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ตัวเองโมดิฟายกันแบบหนักๆ เช่น Black Arrow ของซี-คลาส W203 หรือ Black Barron ของ W212 หรืออี-คลาส ซึ่งใช้ชื่อในการขายว่า E V12 ผ่านการรับรองโดยทาง German Federal Vehicle Registration Agency (Kraftfahrtbundesamt) ว่าเป็นผลผลิตที่มาจากผู้ผลิตรถยนต์ไม่ใช่สำนักแต่ง

ส่วนคันนี้ไม่ได้พูดถึงตรงนี้ บอกแค่ว่าเป็นผลผลิตใหม่ที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ชอบทั้งความแรงและความดุดัน
แน่นอนว่าตัวรถมากับสีดำล้วนตามสไตล์ Brabus แต่อินเทรนด์นิดนึงตรงที่เป็น Matte Black หรือดำด้าน พร้อมกับฝากระโปรงใหม่เจาะช่องอากาศสำหรับระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ และมีฝาปิดที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ขณะที่ด้านท้ายเสริมด้วยสปอยเลอร์หลังทรงสปอร์ตแบบยกตัวขึ้นเองได้อัตโนมัติเมื่อถึงระดับความเร็วที่กำหนด พร้อมกับกันชนท้ายที่มีการเจาะช่อง Diffuser ซึ่งจะทำงานร่วมกับแผ่นปิดใต้ท้องรถในการจัดเรียงอากาศที่ไหลจากด้านหน้าให้สอดผ่านใต้ท้องรถออกทางด้านท้ายอย่างมีระเบียบ ซึ่งจะทำให้ตัวรถมีการทรงตัวที่ดีเวลาแล่นด้วยความเร็วสูง
ในมุมมองของบราบัส เครื่องยนต์วี12 6,000 ซีซี เทอร์โบคู่ของ AMG อาจจะยังไม่เร้าใจเท่าที่ควรเพราะรีดกำลังออกมาได้แค่ 612 แรงม้าเท่านั้น ทำให้ต้องติดเขี้ยวเล็บให้อีกด้วยชุดแต่ง T65RS ซึ่งเน้นไปที่การปรับแต่งทั้งซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ เช่น ปรับ Map การทำงานของเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของการจุดระเบิดและการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนเทอร์โบลูกใหม่เช่นเดียวกับท่อร่วมไอเสียพร้อมแคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์แบบ Hi-Flow อินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ทั้ง 4 ตัวทำหน้าที่ในการลดความร้อนของไอดีที่ถูกอัดเข้ามา เช่นเดียวกับการใช้น้ำมันเครื่องสูตรพิเศษที่ทางบราบัสบอกว่าพัฒนาขึ้นมาร่วมกับพันธมิตรอย่าง ARAL ซึ่งในปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือของทาง Deustche BP AG
บทสรุปในด้านกำลังขับเคลื่อนอยู่ที่ 800 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 144.7 กก.-ม. ที่ 2,100 รอบ/นาที แต่เพื่อความปลอดภัยของชิ้นส่วนระบบส่งกำลังและขับเคลื่อย บราบัสก็เลยล็อกการปล่อยแรงบิดสูงสุดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้แค่ 112.1 กก.-ม.
ตัวรถมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.6 วินาที ดีขึ้น 0.3 วินาที เช่นเดียวกับอัตราเร่งในช่วง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมงซึ่งอยู่ที่ 9.8 วินาทีจากเดิม 11 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดล็อกเอาไว้ที่ 320 กิโลเมตร/ชั่วโมงแต่จริงๆ แล้วไต่ไปได้ถึง 330 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เพื่อความปลอดภัยก็เลยล็อกเอาไว้แค่นี้พอ...
ราคาไม่ได้บอก เช่นเดียวกับว่าจะผลิตจำกัดหรือไม่ แต่ที่แน่ๆสำหรับลูกค้าที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของรถสปอร์ตรุ่นนี้อย่างเต็มตัว บราบัสมีออพชั่นพิเศษ โดยในห้องโดยสารจะมีเพลทโลหะแปะเอาไว้ โดยมีข้อความว่า Brabus One-off แล้วตามด้วยชื่อของรถคันนั้น (นักขับบางคนชอบตั้งชื่อรถจริงๆ) เช่นเดียวกับบนแผงมาตรวัดความเร็ว ด้านล่างก็จะมีการระบุชื่อเอาไว้ด้วยด้วย...พิเศษอย่างอย่างนี้ราคาคงไม่ธรรมดา

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ฟอร์ด โฟกัสแหกสถิติประหยัดน้ำมัน

ฟอร์ด โฟกัสแหกสถิติประหยัดน้ำมัน “ฟอร์ด โฟกัส ” สร้างสถิติใหม่ หลังจากขับทางไกลถึง 1,432.3 กิโลเมตรใช้น้ำมันเพียงถังเดียว ในการแข่งขัน “Coast2Coast Challenge” ครั้งที่ 2 ประเทศฟิลิปปินส์ ถือเป็นการทำลายสถิติของฟอร์ดเ ที่เคยทำเอาไว้ในรายการนี้ จากเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ถึง 106 กิโลเมตร

ฟอร์ด กรุ๊ป ฟิลิปปินส์ ร่วมกับทัวร์สัน เรซซิ่ง สกูล (ทีอาร์เอส) เผยว่า การจัดการแข่งขันทดสอบความประหยัดน้ำมันของรถยนต์ฟอร์ด โฟกัส บนเส้นทางจากเมืองซอร์โซกอนไปยังริมชายหาดปากุดพอด ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน โดยมีสื่อมวลชน 3 ทีม ประกอบด้วย อินยิโก โรเซส และวินซ์ พอร์เนลอส จากออโต้ อินดัสตรีย่า, มิกกโก เดวิด และมาร์ลอน ดาคูมอส จากท็อปเกียร์ ฟิลิปปินส์ และรอน เดอ ลอส เรเยส และเรย์รา เดอ ลอส เรเยส จากออโต้ รีวิว เข้าร่วมการแข่งขันในรถฟอร์ด โฟกัส ทีดีซีไอ รุ่นแฮชท์แบ็ค 5 ประตู และฟอร์ด โฟกัส ทีดีซีไอ พาวเวอร์ชิฟท์ รุ่นเกีย 4 ประตู

อย่างไรก็ดี นักขับที่สามารถทำลายสถิติความประหยัดน้ำมันเดิมของฟอร์ด โฟกัส ได้คือบียอร์น อองเทียบ็อก และเจพี ทัวร์สัน นักขับจากทีอาร์เอสซึ่งรับหน้าที่ขับนำขบวน และขับได้ระยะทางสูงสุด 1,432.3 กิโลเมตร คำนวณอัตราการใช้น้ำมันได้ที่ 25.9 กิโลเมตร/ลิตร ด้านทีมออโต้ รีวิว เข้าเส้นชัยตามมาติดๆ ด้วยอัตราการใช้น้ำมัน 25.47 กิโลเมตร/ลิตร และขับได้ระยะทาง 1,375.9 กิโลเมตร

ส่วนทีมท็อปเกียร์ ฟิลิปปินส์ ขับได้ระยะทาง 1,347.8 กิโลเมตร โดยใช้น้ำมันเพียงถังเดียวเช่นกัน ส่งผลให้อัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 24.73 กิโลเมตร/ลิตร และทีมสุดท้าย ออโต้ อินดัสตรีย่า ขับได้ระยะทาง 1,300.5 กิโลเมตร คิดเป็นอัตราการใช้น้ำมันที่ 24.03 กิโลเมตร/ลิตร

การแข่งขันครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นในเมืองทางตอนใต้สุดของเกาะลูซอน โดยในวันแรก ทั้ง 3 ทีมเริ่มต้นออกเดินทางจากซอร์โซกอนไปยังคามารีนส์ ก่อนจะขับต่อไปยังซูร์และเกซอนในวันที่ 2 จากเกซอน ทั้งหมดได้เดินทางไปยังวิกันในวันที่ 3 และสิ้นสุดการแข่งขันที่เมืองเลาอักในวันสุดท้าย

สำหรับแรงขับเคลื่อนของ ฟอร์ด โฟกัส มากับเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ก เทอร์โบ ดีเซล คอมมอนเรล ไดเร็กต์ อินเจ็กชั่น (ทีดีซีไอ) และระบบเกียร์อัตโนมัติ พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด แรงบิดที่ 340 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรได้ ภายในเวลา 9.6 วินาที

ด้านหนึ่งในคนขับที่ร่วมทดสอบความประหยัดน้ำมันอย่าง วินซ์ พอร์เนลอส เผยว่า อัตราการประหยัดน้ำมันของฟอร์ด โฟกัส ทีดีซีไอ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้ขับขี่เป็นครั้งแรกเสมอ แต่อัตราความประหยัดน้ำมันที่ทลายสถิติเดิมในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความล้ำหน้าอีกขั้นหนึ่งของโฟกัส

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Audi R8 GT เติมความแรง-ผลิตจำกัด

Audi R8 GT เติมความแรง-ผลิตจำกัด ไม่รู้ว่าสอดรับกับกระแส Iron Man 2 หรือเปล่า เพราะ R8 เป็นรถยนต์คู่กายของ "โทนี่ สตาร์ค" มาตั้งแต่ภาคแรก ทางด้านออดี้เลยกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่องให้กับซูเปอร์คาร์รุ่น R8 โดยนอกจากจะเปิดตัวรุ่นสไปเดอร์ หรือเปิดประทุนออกมาทำตลาดแล้ว ล่าสุดยังเพิ่มทางเลือกใหม่ในรหัส GT ที่มีการผลิตออกมาเพียง 333 คันเท่านั้นบนตัวถังสปอร์ตคูเป้

งานนี้เป็นโปรเจ็กต์เพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์ และเติมความเร้าใจให้กับรูปลักษณ์ภายนอก เพราะขุมพลังวี10 5,200 ซีซี FSI ที่วางอยู่กลางลำถูกเพิ่มกำลังจาก 525 แรงม้ามาเป็น 560 แรงม้า มีแรงม้าต่อลิตรอยู่ที่ 107.6 แรงม้าต่อลิตร ส่วนแรงบิดสูงสุดก็ขยับจาก 54.0 กก.-ม. มาเป็น 55.0 กก.-ม.
นอกจากนั้นตัวรถยังได้รับการลดน้ำหนักลงจากเดิมอีก 100 กิโลกรัมลงมาอยู่ที่ 1,525 กิโลกรัม ซึ่งเป็นผลจากการนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่าง CFRP-Carbon Fiber Rienforced Plastic มาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังต่างๆ เช่น กันชนท้าย และพื้นที่ตรงส่วนห้องเครื่องยนต์ด้านท้ายของตัวรถรวมถึงการลดน้ำหนักตามจุดต่างๆ ของตัวรถ เช่น แม่ปั๊มพ์เบรกลดไปได้ 1 กิโลกรัม ดิสก์และคาลิเปอร์ลดไปได้ 4 กิโลกรัมจากการนำดิสก์แบบคาร์บอนเซรามิกมาใช้งาน ตามด้วย 2.3 กิโลกรัมจากการลดน้ำหนักให้กับท่อร่วมไอดี เช่นเดียวกับแผงหน้าปัด และโครงสร้างของเบาะนั่งที่ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาทำให้ลดน้ำหนักได้อีก
เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ R Tronic พร้อมโหมด Launch Control สู่การขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ quattro มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.6 วินาที (ดีขึ้น 0.3 วินาที) และความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (เพิ่มขึ้น 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ส่วนใครที่อยากขับเกียร์ธรรมดาก็มีให้เลือกใช้เหมือนกัน เป็นแบบ 6 จังหวะ ตัวรถเป็นแบบสปอร์ตคูเป้เครื่องยนต์วางกลางลำ มาพร้อมกับตัวถังที่มีความยาว 4,430 มิลลิเมตร กว้าง 1,930 มิลลิเมตร สูง 1,240 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,650 มิลลิเมตร มีอัตราส่วนการกระจายน้ำหนักระหว่างด้านหน้าและหลัง 43:57% เพิ่มความดุดันด้วยล้อแม็กขนาด 8X19 นิ้วพร้อมยาง 235/35R19 สำหรับล้อหน้า และ 11X19 นิ้วกับยาง 295/30R19 สำหรับล้อหลัง ขณะที่ระบบช่วงล่างถูกปรับลดความสูงลงจากรุ่นมาตรฐานอีก 10 มิลลิเมตร
ราคาไม่ธรรมดาสำหรับความแรงในแบบผลิตจำกัด โดยทางออดี้ตั้งเอาไว้ที่ 193,000 ยูโร หรือ 8.31 ล้านบาท มีขาย 4 สีเท่านั้น คือ ส้ม, เทา, เงิน และดำ แฟนๆ ออดี้ในบ้านเราถ้าสนใจก็รีบจับจองกันตั้งแต่เนิ่นๆ



ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ออดี้เชื่อ A1-A8พาบริษัทกำไรแน่

ออดี้เชื่อ A1-A8พาบริษัทกำไรแน่ ออดี้ เอจี เชื่อความแรงในด้านยอดขายของรถยนต์ไซส์เล็กที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเอ1 และรถยนต์ระดับหรูขนาดใหญ่อย่างเอ8 จะช่วยทำให้บริษัทสร้างยอดขายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และเป็นกำลังหลักที่จะทำให้บริษัทมีกำไรในการประกอบการสำหรับปี 2010 อย่างแน่นอน

ตอนนี้ เราคาดหวังว่ากำไรที่ได้จากการปฏิบัติการจะมีมากกว่ายอดขาย โดยดูได้จากตลาดรถยนต์หลักๆ ของออดี้มีตัวเลขยอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอัตราที่น่าพึงพอใจ’ เอ็กเซล สโตรทเบ็ค Chief Financial Officer ของออดี้ เอจีกล่าวในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่เมืองอินโกสตัดต์ ประเทศเยอรมนี
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ออดี้มีตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ด้วยตัวเลข 360,750 คันโดยเป็นตัวเลขที่รวมทั้งยอดขายรถยนต์นั่งและเอสยูวี ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าคู่ปรับสำคัญอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ของค่ายเดมเลอร์ เอจี ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของตลาดรถยนต์หรูของโลก เป็นรองแค่บีเอ็มดับเบิลยูเท่านั้น ซึ่งทางออดี้วางเป้าหมายว่าภายในปี 2015 จะต้องทำตัวเลขยอดขายแซงหน้าขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในตลาดกลุ่มนี้ให้ได้
สำหรับเอ1 และเอ8 เป็นรถยนต์ใหม่ของออดี้ที่จะเริ่มทำตลาดปีนี้ โดยเอ1 เป็นผลผลิตใหม่แกะกล่องที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าในระดับ Entry Level โดยเน้นไปที่กลุ่มสุภาพสตรี โดยตัวรถมากับตัวถัง 3 ประตูที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับรถยนต์ซับคอมแพ็กต์ในเครืออย่างโฟล์คสวาเกน โปโล ส่วนเครื่องยนต์ให้เลือก 3 แบบคือ เบนซินเทอร์โบไดเร็กต์อินเจ็กชัน หรือ TFSI แบบ 4 สูบ 1,200 ซีซี 87 แรงม้า และ 1,400 ซีซี 122 แรงม้า ปิดท้ายกับเทอร์โบดีเซล 1,600 ซีซี 105 แรงม้า ส่วนทางด้านเอ8 เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ แม้ว่าจะต้องเจอกับงานหนักเพราะทางบีเอ็มดับเบิลยูก็เพิ่งเปิดตัวซีรีส์ 7 ใหม่ในรหัส F01 ออกมาขายก่อนหน้านี้ไม่นาน แต่ทางออดี้เชื่อว่าด้วยรูปลักษณ์ที่สวยสปอร์ตและเพียบ พร้อมด้วยความหรูเต็มพิกัด น่าจะทำให้เอ8 กลายเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในตลาดรถยนต์ระดับหรูหรารุ่นสูงสุด ส่วนราคาของเอ8 ในเยอรมนี เริ่มต้นที่ 75,042 ยูโร หรือ 3.37 ล้านบาท

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Fiat Uno อเนกประสงค์เพื่อตลาดเกิดใหม่

Fiat Uno อเนกประสงค์เพื่อตลาดเกิดใหม่ บราซิลถือเป็นตลาดรถยนต์เกิดใหม่สุดฮ็อตที่ได้รับการจับตามองจากผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก และในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เปอโยต์เปิดตัวปิกอัพที่แชร์พื้นฐานเก๋งอย่างรุ่นฮ็อกการ์ออกมา ทางด้านเฟียต ซึ่งถือว่าเป็นพี่เบิ้มอีกรายในตลาดกลุ่มนี้ก็ส่งทางเลือกใหม่ของความอเนกประสงค์ด้วยรุ่นอูโน (Uno) ใหม่ออกมาทำตลาด
อูโนถือเป็นรถยนต์อีกรุ่นจากค่ายเฟียตที่โด่งดังและมีความคลาสสิค แต่ทว่ารุ่นแรกถูกส่งออกมาขายเป็นเก๋งทรงแฮทช์แบ็กที่เปิดตัวในปี 1983 ก่อนที่จะเปิดตัวรุ่นใหม่ในปี 1989 และทำตลาดในยุโรปจนถึงปี 1995 เพื่อให้รุ่นพุนโตเข้ามาแทนที่ แต่สำหรับตลาดรถยนต์บางแห่ง เช่น แอฟริกาใต้ หรือโปแลนด์ อูโนรุ่นที่ 2 ยังถูกขายอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับบราซิล ซึ่งเฟียตส่งอูโนเข้ามาขายเป็นครั้งแรกในปี 1991
สำหรับรุ่นใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 3 ซึ่งมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง เพราะจริงอยู่ที่แม้จะเป็นตัวถังทรงแฮทช์แบ็ก แต่ก็มีการปรับปรุงรายละเอียดการออกแบบของตัวรถให้แตกต่างออกไป โดยเฉพาะการยกตัวถังให้สูงขึ้นเพื่อให้ดูคล้ายกับรถยนต์อเนกประสงค์ประเภท Crossover

ในรุ่นนี้ดูเหมือนว่าเฟียตจะตั้งใจให้เป็นผลผลิตที่เกิดมาเพื่อรองรับกับความต้องการและรสนิยมของคนในแถบละตินอเมริกาเป็นหลัก เพราะงานออกแบบและพัฒนาตัวรถทั้งหมดมาจากศูนย์ R&D ของเฟียต หรือ Giovanni Agnelli Center ในบราซิล เช่นเดียวกับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกที่มากับคอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า Round Square ซึ่งตัวถังมากับสไตล์เหลี่ยมเหมือนกล่อง และลบเหลี่ยมมุม และเสริมความโค้งมนกลมกลืนตามรายละเอียดต่างๆ เช่น ไฟหน้า หรือช่องดักลมและช่องสปอตไลต์บนกันชนหน้า
ในห้องโดยสารรองรับกับการใช้งานตามสไตล์รถยนต์อเนกประสงค์ ด้วยเบาะนั่ง 2 แถวรวม 5 ที่นั่ง ซึ่งยังเหลือพื้นที่บรรทุกสัมภาระด้านท้ายในอีกระดับหนึ่ง และถ้าต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยก็สามารถเลือกพับเบาะนั่งที่สามารถแยกพับในอัตราส่วน 60:40% หรือพับลงทั้งหมดได้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน

เครื่องยนต์ที่ขายในบราซิลจะมากับขุมพลังรหัสใหม่ที่เฟียตเรียกว่า Fire Evo ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยเฟียต ในบราซิล ซึ่งจะมีการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานของลูกค้าในภูมิภาคนี้ที่มีรูปแบบการใช้งานแตกต่างออกไป โดยตัวเครื่องยนต์ที่มีความจุทั้งแบบ 1,000 และ 1,400 ซีซี ซึ่งเป็นแบบ Flex Fuel สามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน และ E100 จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ
ถ้าเป็นรุ่น 1,000 ซีซีจะให้กำลังสูงสุด 75 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 9.5 กก.-ม. ที่ 3,850 รอบต่อนาทีสำหรับการใช้งานเบนซิน และจะเพิ่มเป็น 75 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 9.9 กก.-ม. ที่รอบเท่ากันเมื่อเปลี่ยนมาใช้ E100 มีความประหยัดน้ำมันสำหรับการใช้งานในเมือง 15.6 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับเบนซิน และ 10.5 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับ E100 ส่วนนอกเมืองอยู่ที่ 20.1 และ 12.9 กิโลเมตรต่อลิตรตามลำดับ

ส่วนรุ่น 1,400 ซีซีที่มาพร้อมกับระบบวาล์วแปรผัน หรือ CVCP-Continuously Valve Cam Phaser มีกำลังสูงสุด 85 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 12.4 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบต่อนาทีสำหรับการใช้น้ำมันเบนซิน และ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 12.5 กก.-ม. ที่รอบเท่ากันสำหรับการใช้ E100 มีความประหยัดน้ำมันสำหรับการใช้งานในเมือง 14.7 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับเบนซิน และ 10.3 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับ E100 ส่วนนอกเมืองอยู่ที่ 19.4 และ 12.8 กิโลเมตรต่อลิตรตามลำดับ
เฟียตวางแผนส่งขายในตลาดบราซิลปลายปีนี้ และจะกระจายไปยังตลาดละแวกใกล้เคียงอย่างอาร์เจนตินา และชิลีด้วย ส่วนตลาดกลุ่มอื่นของโลกยังไม่มีการประกาศออกมาในตอนนี้ว่า เฟียตสนใจที่จะไปตั้งไลน์เพื่อผลิตขายด้วยหรือไม่

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

นั่งอย่างไร...ขับรถให้ปลอดภัย

นั่งอย่างไร...ขับรถให้ปลอดภัยการขับรถยนต์ให้ปลอดภัย นอกจากผู้ขับต้องมีความชำนาญแล้ว ท่าทางในการขับก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญว่าจะเพิ่มหรือลดประสิทธิภาพในการควบคุมรถยนต์ และทัศนวิสัยในการขับ ผู้ขับหลายคนปรับเบาะได้ถูกต้องแล้ว แต่พยายามโยกตัวมาด้านหน้า เพื่อให้มองเห็นปลายของฝากระโปรงหน้า บางคนชอบปรับเบาะให้เอนมากๆ แล้วชะโงกตัวขึ้นมาโหนพวงมาลัยแผ่นหลังจึงไม่สัมผัสพนักพิงอย่างเต็มที่ ทำให้สูญเสียความฉับไวและความแม่นยำในการควบคุมรถยนต์
การปรับตำแหน่งเบาะ ส่วนใหญ่ปรับได้อย่างน้อย 3 จุด คือระยะของเบาะนั่ง มุมเอียงของพนักพิงและระดับสูง-ต่ำของหมอนรองศีรษะ ส่วนการปรับระดับสูง-ต่ำของเบาะนั่งหรือมุมเอียงของหมอนศีรษะ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ปรับได้จนเหมาะสมมากขึ้น การปรับเบาะนั่งให้ได้ระยะที่เหมาะสม สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดาทำได้โดยใช้ฝ่าเท้าซ้ายเหยียบแป้นคลัตช์ให้สุด (ไม่ควรใช้ปลายเท้าเหยียบคลัตช์) จากนั้นเลื่อนเบาะให้หัวเข่าซ้ายงอเล็กน้อย
สำหรับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งไม่มีแป้นคลัตช์ ให้ใช้เท้าซ้ายเหยียบลงบนแป้นพักเท้าหรือพื้นรถยนต์ และใช้ฝ่าเท้าขวาเหยียบแป้นเบรกจนสุดไว้ จากนั้นเลื่อนเบาะนั่งให้หัวเข่าขวางอเล็กน้อย สาเหตุที่ต้องปรับให้หัวเข่ายังงอขณะเหยียบเบรกจนสุด ก็เพื่อไม่ให้ร่างกายรับแรงกระแทกหากเกิดการชน แรงกระแทกจากแป้นเบรกจะดันเข้ามา หัวเข่าที่งออยู่แล้วก็จะสบัดขึ้น ช่วยลดแรงกระแทก แต่ถ้าปรับเบาะไว้ห่างเกินไป จนต้องเหยียบขาตึงเวลาเหยียบเบรก เพราะเมื่อเกิดการชน ขาที่เหยียดตรงจะรับแรงกระแทกเข้ามายังสะโพกแบบเต็มๆ
การปรับมุมเอียงของพนักพิง แผ่นหลังแนบกับเบาะ ให้ใช้มือซ้าย-ขวา จับพวงมาลัยที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา (หรือ 10 และ 2 นาฬิกา) และปรับตำแหน่งพนักพิง กระทั่งข้อศอกทั้ง 2 ข้างหย่อนเล็กน้อย แล้วลองเลื่อนมือไปจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 12 นาฬิกา แขนต้องยังไม่ตึง โดยไม่ต้องโยกตัวขึ้นมา หรือแบมือพาดลงไปด้านบนสุดของวงพวงมาลัย ต้องอยู่บริเวณข้อมือจึงจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการขับมากที่สุด
การนั่งห่างหรือปรับพนักพิงเอนมากไป ทำให้ต้องมีการโยกลำตัวขึ้น-ลงในบางจังหวะที่หมุนพวงมาลัย ทำให้ขาดความฉับไว และการทิ้งน้ำหนักที่ผิดอาจทำให้กระดูกสันหลังมีปัญาหาในระยะยาวได้ การนั่งชิดพวงมาลัยเกินไป อาจเกิดจากความต้องการมองด้านหน้าสุดของฝากระโปรงหน้า เพราะกลัวจะกะระยะไม่ถูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะด้านหน้าของรถยนต์ยุคใหม่มักงุ้มต่ำ บางรุ่นต้องชะโงกแบบสุดๆ ถึงจะเห็น

ดังนั้นควรใช้วิธีกะระยะเอาเองดีกว่า ข้อศอกที่งอมากเกินไป ก็ชิดลำตัว ทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่คล่อง อีก 2 ประเด็น ที่สำคัญคือ การนั่งชิดพวงมาลัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แม้คาดเข็มขัดนิรภัยก็ยังเสี่ยงต่อการอัดเข้ากับพวงมาลัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพราะเข็มขัดนิรภัยอาจรั้งได้ไม่ทัน
หากมีถุงลมนิรภัยแล้วนั่งชิด ก็อาจกลายเป็นถุงลมมหาภัย เพราะการพองตัวของถุงลมนั้น ทั้งเร็วและแรง หากร่างกายปะทะกับถุงลมนิรภัยยังพองตัวไม่เต็มที่ ก็เท่ากับโดนเสยกลับมา จนบางคนคอหักตาย เพราะถุงลม การปะทะกับถุงลมที่ปลอดภัย คือ ปะทะเมื่อถุงลมพองตัวเกือบหรือเต็มที่แล้ว ด้วยการนั่งให้ระยะห่างพอดี และคาดเข็มขัดนิรภัย

หมอนรองศีรษะ ไม่ได้มีไว้ให้หนุนขณะขับ แต่ช่วยลดอาการบาดเจ็บบริเวณต้นคอหรือคอหัก หากเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะการถูกชนท้าย ที่ศีรษะถูกสะบัดไปด้านหลัง

การปรับระดับของหมอนศีรษะที่เหมาะสม ควรปรับให้ขอบบนของหมอนอยู่ระดับใบหูด้านบน ถ้าหมอนสามารถปรับระดับมุมเอียงได้ ควรปรับให้ใกล้ศีรษะมากที่สุด เพื่อลดการสะบัดของศีรษะเมื่อถูกชนท้าย

ที่มา http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9530000068088

โปรตอน เอ็กซ์โซร่า พันธุ์ใหม่“เอ็มพีวี”ดีเกินคาด

โปรตอน เอ็กซ์โซร่า พันธุ์ใหม่“เอ็มพีวี”ดีเกินคาด กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของโปรตอนไปแล้ว สำหรับ “เอ็กซ์โซร่า” เพราะถ้ามองเป้ายอดขายรวมทั้งปีที่บอสใหญ่ “ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข” ตั้งไว้ทุกรุ่นกว่า6,000 คัน ในจำนวนนี้เกินครึ่งเป็นของ“เอ็มพีวีน้องใหม่”...ซึ่งไม่แปลกครับ เพราะจากเดิมเก๋งเล็กตัวขายหลัก โดยเฉพาะรุ่น“แซฟวี่” นั้น โดนพวกแบรนด์ใหญ่ออกอาวุธมาตีกระจาย หรืออย่างที่เห็นชัดๆก็“มาร์ช” อีโคคาร์จากนิสสัน
เรื่องเป้าหมายยอดขาย 3,000 คันของเอ็กซ์โซร่าคงไม่ใช่ปัญหา เพราะล่าสุดทยอยส่งมอบไปกว่า 1,000 คันแล้ว ส่วนปัญหาที่ทำให้สะดุดคงหนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆคือการส่งมอบล่าช้า หรือลูกค้าต้องรอรถนาน เรียกว่า“คนอยากขาย ลูกค้าอยากซื้อ แต่รถไม่มี”...งานนี้ต้องโทษใคร?

โปรตอนแบ่งเอ็กซ์โซร่า ออกเป็น3รุ่นย่อย คือเกียร์ธรรมดา ราคา 7.19 แสนบาท เกียร์อัตโนมัติ 7.59 แสนบาท ขณะที่ตัวท็อป เกียร์อัตโนมัติ 8.19 แสนบาทจะเพิ่มครูสคอนโทรล กับเครื่องเล่นDVD ชุดใหญ่พร้อมจอขนาด 8.5 นิ้ว สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”ได้รุ่นท็อปมาลอง และยอมรับจากประสบการณ์ที่เคยขับโปรตอนมาครบทุกรุ่น จึงไม่คาดหวังความสมบูรณ์แบบกับ“เอ็มพีวีมาเลเซีย”คันนี้มากนัก ยิ่งพอรับกุญแจแล้วบิดดูมาตรวัดแสดงผลพบว่า รถคันที่ได้ เพิ่งตัดมาสดๆร้อน เพราะเลขไมล์โชว์ระยะทางวิ่งจากมาเลเซียมาไทยแค่ 58 กิโลเมตรเท่านั้น!

...แต่สุดท้ายอาการประหวั่นต่างๆ(กลัวรถไม่ดี) หรือติมันไว้ก่อนโดยยังไม่ได้ลองของจริง ก็กลายเป็นแค่จินตนาการปัญญาอ่อน หลังจากที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับ “เอ็กซ์โซร่า” ในช่วง2 วัน 1 คืน ระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร
หลังได้รถมา สิ่งที่ผู้เขียนทำก่อนเป็นอันดับแรกคือการพิสูจน์จุดขายของความอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ว่าแล้วจึงชวนเพื่อนฝูงคละไซส์ชาย-หญิง มาร่วมลองประสบการณ์ และแม้จะอัดกันไปในระยะทางสั้นๆ(ไม่เกิน 10 กิโลเมตร) แต่ก็พอจะเห็นถึงการขยับขยายคล่องตัวได้ระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ 2 ผู้โดยสารแถวหลังสุดประสานเสียงว่า ถ้านั่งระยะใกล้ๆไม่มีปัญหา เข่าไม่ถึงกับเชยคาง หรือชนกับเบาะแถวสองจนปวด แต่กระนั้นถ้ามีวาระนั่งไปไกลมีเมื่อยแน่นอน ขณะที่ผู้โดยสารอีก 4 คน บอกว่านั่งสบายไม่อึดอัด พร้อมชมระบบแอร์ด้านหลังทั้ง 4 ช่อง (เบาะแถว 2 และ 3) ทำงานดีฉ่ำเร็ว
ในส่วนผู้เขียนเองชื่มชมความอเนกประสงค์ของเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่ออกแบบมาดี อย่างแถวสุดท้ายถ้าอยากนั่งก็เข้าออกสะดวก เด็กน้อยหรือผู้ใหญ่รูปร่างสันทัดเข้าออกสบาย หรือไม่ใช้สามารถพับเก็บได้ราบและเรียบไปกับพื้นที่เก็บสัมภาระท้าย ดูสวยงามและใช้พื้นที่ได้เต็มประโยชน์ อย่างไรก็ตามเบาะคนขับ พนักพิงรู้สึกชันดันหลังไปนิด รวมถึงที่พักแขนซ้ายขนาดเล็ก-สั้นวางได้ไม่เต็มแขน

เรื่องการขับขี่ โปรตอน เอ็กซ์โซร่า วางเครื่องยนต์เบนซิน แคมโปร 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1.6 ลิตร พร้อมระบบวาล์วแปรผัน CPS ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ยกชุด(เครื่องยนต์-เกียร์) มาจากเก๋งรุ่น นีโอและเจนทู (CPS) แต่เพื่อความเหมาะสมกับการใช้งานอเนกประสงค์ หรือน้ำหนักรถเปล่าของเอ็กซ์โซร่าก็ปาไป 1,442 กิโลกรัมแล้ว วิศวกรโปรตอนจึงปรับอัตราทดเฟืองท้ายให้สูงกว่า 2 รุ่นพี่ หวังดึงกำลังฉุดช่วงตีนต้น
การขับจริงเป็นเช่นนั้นครับ (ไม่มีผู้โดยสารนั่งไปด้วย) รถออกตัวกระฉับกระเฉง ไล่ความเร็วได้ต่อเนื่อง ส่วนย่านความเร็วกลางถึงปลายอาจจะมาช้าหน่อย แต่ไม่ถึงกับอืด และพอจะประเมินกรณีผู้โดยสารนั่งกันไปสัก 4-5 คนก็พอลากถูกันไปไม่ลำบาก

นอกจากนี้คันเร่งของเอ็กซ์โซร่า ค่อนข้างจะตื่นตัว เพราะเพียงกดเบาๆรถจะ คิกด์ดาวน์ให้ตลอด ยิ่งความเร็วกลางๆขับอยู่ประมาณ 80 กม./ชม. ส่วนการขับเกียร์ 4 ความเร็ว 110 กม./ชม. รอบอยู่ที่ 3,000 หรือถ้าไล่ไปเรื่อยๆจะทำความเร็วสูงสุดได้ 150 กม./ชม. (แต่เจ้าหน้าที่โปรตอนบอก ถ้าลองเลื่อนมาแช่ที่เกียร์ 3 ลากรอบไปได้เกิน 6,000 น่าจะเห็นความเร็วระดับ 170 กม./ชม.ได้เช่นกัน)
สำหรับพวงมาลัยการบังคับควบคุมน้ำหนักพอดีมือ สั่งงานซ้ายขวาแม่นยำพอสมควร(สมกับการเป็นรถทรงเอ็มพีวี) แต่จะเสียตรงจับไม่กระฉับแน่น ซึ่งเป็นผลมาจากวัสดุใช้ทำพวงมาลัย (ไม่มีวัสดุหุ้มทับ) เหนืออื่นใดการทรงตัวถือเป็นจุดเด่นที่สุดของ “เอ็กซ์โซลา” โดยช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นทอร์ชันบีมพร้อมเหล็กกันโคลง ใช้ยางขนาด195/65 R15

อย่างที่บอกว่าการขับไม่มีผู้โดยสาร ผู้เขียนลองเปลี่ยนเลนกะทันหันที่ความเร็วสูง อาการโยกโยนน้อย เข้าโค้งยาวๆ รู้สึกถึงความมั่นใจ หรือช่วงขับเรื่อยๆ 80 กม./ชม.การรองรับยังนุ่มนวล(ความรู้สึกในตำแหน่งผู้ขับ) ขณะเดียวกันอาการตอนขึ้นลงคอสะพาน การโดดกระด้างอยู่ในระดับสอบผ่าน
ด้านการเก็บเสียงจากภายนอก ถ้าไม่นับเสียงดังคำรามของเครื่องยนต์แคมโปรที่เปรียบเสมือนเอกลักษณ์ของโปรตอนแล้ว ในภาพรวมๆถือว่าเนี้ยบกว่าเก๋งร่วมค่ายที่เคยขับมา เช่นกันกับวัสดุและการประกอบดูพิถีพิถันขึ้น ส่วนออปชันความปลอดภัยใส่เป็นมาตรฐานครบทุกรุ่นไล่ตั้งแต่ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ส่วนเบรกหน้าดิสก์หลังดรัม เวลากดแป้นออกแนวลึกยวบ ตอบสนองไม่ความกระชับเท่าใดนัก

...หลังการขับระยะทางรวม 322 กิโลเมตร ส่วนมากวิ่งยาวๆต่างจังหวัด ผู้เขียนใช้ความเร็วสูงเฉลี่ย 120-130 กม./ชม. ปรากฎตัวเลขอัตราซดน้ำมันที่หน้าจอแสดงผล 11.2 กิโลเมตรต่อลิตร
รวบรัดตัดความ...ดีขึ้นผิดหูผิดตาสำหรับรถสายพันธุ์ใหม่ของโปรตอน ด้วยการพัฒนาบนพื้นฐานแฟลตฟอร์มใหม่ และพยายามปรับปรุงจุดด้อยเดิมๆจากรุ่นพี่ที่ผ่านมา ส่วนตัวถังเอ็มพีวีออกแบบอเนกประสงค์ใช้งานได้จริง ไม่มีมั่วแบบขอไปที ที่สำคัญไม่ละทิ้งช่วงล่างอันเลื่องชื่อ การทรงตัวยอดเยี่ยม ส่วนเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบอิเลกทรอนิกส์ต่างๆยังมีข้อจำกัด และคงต้องใช้เวลาก้าวผ่านเทคโนโลยี มุ่งสู่ความสมดุลที่ยั่งยืนต่อไป

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แต่งโฉม Lexus RX350 และ RX450h รถ SUV สุดหรู โดย Wald International

แต่งโฉม Lexus RX350 และ RX450h รถ SUV สุดหรู โดย Wald Internationalนานๆทีจะมีผลงานการแต่งรถของ Wald International มาฝาก ซึ่งคนไทยจะคุ้นเคยกับชื่อนี้ในเรื่องของล้อแม็กหรือล้ออัลลอยมากกว่า ชุดแต่งที่นำมาให้ชมนี้ชื่อ Black Bison เป็นชื่อที่สำนักแต่งรถชอบใช้กันนักหนาสำหรับการแต่งรถสีโทนดำไม่เว้นแม้แต่กรณีของ Wald รถพื้นฐานที่ใช้แต่งคือ รถเอสยูวีสุดหรู Lexus RX350 และรถไฮบริดอย่าง RX450h
ชุดแต่งนี้เป็นการแต่งโฉมอย่างเดียวนะครับ ไม่มีการแต่งสมรรถนะใดๆ ของแต่งก็เริ่มจาก กันชนหน้าใหม่พร้อมช่องไอดีขนาดใหญ่ สเกิร์ตข้าง กันชนหลังใหม่ที่มาพร้อมกับ diffuser และปลายท่อไอเสียคู่ เรียกว่าแต่งโฉมทั่วไปเหมือนรถแต่งอื่นๆ
นอกจากนั้นแล้วยังมีสปอยเลอร์หลังคา ใช้ล้ออัลลอยแบบก้านถี่ของ Wald เอง ลูกค้ายังสามารถเลือกชุดแต่งภายในเพิ่มขึ้นเช่น ชุดแป้นคันเร่งอัลลอย และเสื่อปูพื้นแบบพิเศษครับ

ที่มา: Wald International,www.autospinn.com

Lexus LF-Ch รถแนวคิดแฮทช์แบ็คไฮบริดหรู เตรียมบุก Frankfurt ท้าชน Series 1 และ A3


Lexus LF-Ch รถแนวคิดแฮทช์แบ็คไฮบริดหรู เตรียมบุก Frankfurt ท้าชน Series 1 และ A3
หลังจากที่มีการเผยภาพสเก็ตช์รถแฮทช์แบ็คแนวคิดระบบไฮบริด LF-Ch ไปเมื่อหลายวันก่อนแต่ผมไม่ได้นำมาลงเพราะรายละเอียดมีไม่มาก วันนี้ Lexus ได้ฤกษ์ปล่อยภาพรถไฮบริดดังกล่าวออกมายั่วน้ำลายคนมีเงินที่ต้องการหล่อไฮโซแบบประหยัด โดยรถแฮทช์ 5 ประตูจะถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้อยู่ในระดับพรีเมี่ยมของตลาดรถยนต์ C-Segment ที่มีคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Audi A3 และ BMW Series 1

LF-Ch มีการออกแบบที่ดูทันสมัย พร้อมระบบไฮบริดที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก เพราะกระแสมาแรงเหลือเกิน คนรวยคนไหนไม่มีรถไฮบริดใช้ภาพลักษณ์แบบคนดีรักธรรมชาติก็อาจจะขาดหายไปได้
รถแนวคิดหรือ Concept Car คันนี้จะใช้ระบบขับเคลื่อนไฮบริดของบริษัทเอง(เทคโนโลยีไฮบริดของ Toyota บริษัทแม่ก็ถือว่าไร้เทียมทานอยู่แล้ว ของ Lexus ก็คงไม่ต่างกัน) โดยสามารถรองรับการใช้งานแบบระบบไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับขี่ทั้งเส้นทางได้สบาย และทั้งหมดก็คือข้อมูลที่ Lexus ได้เผยมาจนถึงขณะนี้ครับ ส่วนรายละเอียดและภาพเพิ่มเติมแบบเต็มๆเราน่าจะได้เห็นก่อนงานมอเตอร์โชว์ โดยภาพน่าจะปล่อยออกมาในวันที่ 10 กันยายนถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดครับ
ที่มา: Lexus,www.autospinn.com

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ยืนยันสเปคเป็นทางการ Vyrus 987 C3 4V ปี 2010 มอเตอร์ไซค์ผลิตเชิงพาณิชย์ที่เร็วที่สุดในโลก

ยืนยันสเปคเป็นทางการ Vyrus 987 C3 4V ปี 2010 มอเตอร์ไซค์ผลิตเชิงพาณิชย์ที่เร็วที่สุดในโลก
ในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคมเมื่อปีที่ผ่าน AutoSpinn ได้เคยนำเสนอข่าวของ Vyrus 987 C3 4V มอเตอร์ไซค์ที่บริษัทผู้ผลิตอย่าง Vyrus มั่นใจว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานยนต์ผลิตเชิงพาณิชย์ที่เร็วที่สุดในโลก โดยในครั้งนั้นเราได้เปิดเผยสเปคของมอเตอร์ไซค์สุดแรงทรงแปลกรุ่นนี้ไปแล้ว แต่ล่าสุด Vyrus ออกมายืนยันสเปคที่แน่นอนแล้วพร้อมเปิดเผยความเร็วสูงสุดซึ่งในช่วงนั้นยังไม่มีการเปิดตัวเลขออกมาให้สาธารณชนได้รับทราบแต่อย่างใด ในส่วนของสเปคหรือรายละเอียดทางเทคนิคโดยรวมถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากครับ

Vyrus 987 C3 4V ยังใช้เครื่องยนต์ L-Twin ของ Ducati 1198 เหมือนเดิม ให้กำลัง 184 แรงม้า แต่น้ำหนักลดลงกว่าที่ให้ข้อมูลไปก่อนหน้านี้คือ จาก 158 ลดลงเหลือ 155 กิโลกรัม ซึ่งน้ำหนักของรถถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการทำให้มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เร็วที่สุดในโลกจากการเปิดเผยของบริษัทฯ ส่วนความเร็วสูงสุดก็ตามคำคุยคือ 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง!

ในเรื่องของรูปลักษณ์ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของ Vyrus ที่ใช้สวิงอาร์มสำหรับล้อหน้าแทนตะเกียบเหมือนมอเตอร์ไซค์ทั่วไป และแน่นอนว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการบังคับล้อหน้า ระบบการควบคุมก็ต้องเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นการควบคุมการหักเลี้ยวจากศูนย์กลาง และการใช้โครงสร้างตัวถังแบบนี้จะช่วยทำให้รถมีความเสถียรมากขึ้นและทำการควบคุมได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม Vyrus ไม่มีการพูดถึงเวอร์ชั่นอื่นๆคือ เวอร์ชั่น R และ Supercharged และสเปคที่ได้กล่าวไปข้างต้นคือสเปคของเวอร์ชั่น R ที่ได้เสนอข่าวไปแล้วเมื่อ 3 เดือนก่อน นอกจากนั้นยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการเช่นกันว่า ที่ว่าเร็วที่สุดในโลกได้ทดสอบความเร็วในสนามไหนไปแล้วบ้าง?!
ที่มา: Vyrus,www.autospinn.com

สปอร์ต มาสด้า 2 สปอร์ตซีดานใหม่

สปอร์ต มาสด้า 2 สปอร์ตซีดานใหม่ อะไรคือความแตกต่างระหว่างมาสด้า 2 แฮชท์แบ็ค 5 ประตู กับมาสด้า 2 ซีดานใหม่ นอกจากส่วนท้ายที่ยื่นออกมา ผมนึกอยู่ในใจก่อนที่จะขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับ ในกิจกรรมทดสอบสมรรถนะรถยนต์รุ่นใหม่ของมาสด้าเซลส์ ประเทศไทยคันนี้ ณ ดินแดนแห่งการท่องเที่ยวของเมืองใต้ เกาะภูเก็ต

ดูจากสเป็คเครื่องยนต์แล้วมันคือ ตัวเดียวกัน 1.5 ลิตร MZR 103 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร ช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโครง ด้านหลังเป็นกึ่งอิสระทอร์ชั่นบีม พร้อมเหล็กกันโครง พวงมาลัยไฟฟ้าแร็คแอนด์พีเนียน เพาวเวอร์ผ่อนแรงแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทุกอย่างเหมือนกัน

ผมยังไม่ลืมความรู้สึกตอนอยู่หลังพวงมาลัยมาสด้า 2 รุ่นแฮชท์แบ็คที่เชียงใหม่ เมื่อปลายปีที่แล้ว มันให้ความสนุก และมั่นใจ แต่ส่วนหนึ่งเพราะท้ายมันสั้นกว่าเจ้าซีดานตัวใหม่ ที่ภูเก็ตผมกับเพื่อนๆ สื่อหลายแห่งเดินทางกันเป็นขบวนเกือบ 20 คัน มาสด้า 2 ซีดานแต่ละคันทั้งเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ฝ่าการจราจรกลางเมืองช่วงสายๆ กันอย่างคล่องตัว ถนนเล็กๆ ซอยแคบๆ ที่ถูกวางให้เป็นจุดทดสอบ ไม่ใช่ปัญหาเลย พวงมาลัยแม่นยำในสไตล์มาสด้าช่วยได้เยอะทีเดียว

แต่จุดหมายของการเดินทางวันนี้ค่อนข้างไกลทีเดียวไม่ได้ขับวนไปมาในภูเก็ต พวกเรามุ่งหน้าขึ้นเหนือ ไปอีกเกือบ 200 กิโลเมตร ปลายทางอยู่ที่จังหวัดกระบี่ ถนนหลวงเส้นทางเข้าออกเกาะ โค้งไปโค้งมา ขึ้น และลงเขา ยังกับงูเลื้อย อาจเป็นอุปสรรคในการใช้ความเร็วของรถบางคัน บางรุ่น แต่กับเจ้ามาสด้า 2 ซีดาน รุ่นเกียร์อัตโนมัติที่ผมขับทดสอบ มันเป็นเรื่องสบายๆ 70-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจอโค้งข้างหน้าก็แค่หมุนพวงมาลัยไปตามทางก็เท่านั้น

อันที่จริงสมรรถนะของมันอาจสูงกว่านั้น แต่ปรกติผมไม่ใช่เป็นคนขับรถเร็วนัก คิดว่า แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับรถซับคอมแพ็กต์ ซึ่งบางรุ่น ช่วงล่างนุ่มมากๆ แค่นี้ก็เสียวแล้ว และถ้าเทียบกับรุ่นแฮชท์แบ็คแล้วถ้าไม่บรรทุกสัมภาระท้ายรถมากนัก ความแตกต่างในการควบคุมต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น รุ่นซีดานจะให้ตัวมากกว่า แต่ยืนยันครับว่าถ้าไม่บรรทุกสัมภาระด้านหลังมากนัก มันต่างกันไม่มากจริงๆ

ช่วงทางตรงๆ ในกระบี่ หลายคันเริ่มดึง 103 แรงม้ามาใช้กันอย่างเต็มเหนี่ยว เข็มวัดความเร็วของผมขยับขึ้นเรื่อยๆ ผ่าน 150 ก็แล้วยังไม่มีท่าทีจะหยุด ผมเลยตัดสินใจถอนเท้าจากคันเร่ง เพราะดูแล้วว่ามันคงไม่เหมาะถ้ารถซับคอมแพ็กต์ทั่วๆไปจะวิ่งกันเร็วมากๆ เครื่องยนต์อาจพาไปได้ แต่ผมมองในเรื่ององค์ประกอบหลายๆ โดยเฉพาะความปลอดภัย

ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ซึ่งรวมช่วงทดสอบพิเศษ 3.5 กิโลเมตร ขับขึ้นเขาไปยังจุดชมวิว เพื่อรีดสมรรถนะในแบบสปอร์ต พอจะทำให้ผมตัดสินใจได้ว่า มาสด้า 2 ซีดานใหม่ ยังให้อารมย์สปอร์ตไม่น้อยไปกว่ารุ่น แฮชท์แบ็คสักเท่าไร่ ข้อดีของมันคือ ผมได้พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่พอจะอัดถุงกอล์ฟสัก 4 ใบได้ หรือกระเป๋าเดินทางใหญ่ๆ อีก 3-4 ใบได้สบายๆ และราคาของทั้ง ซีดาน และแฮชท์แบ็ค ก็ไม่ต่างกันเลย เริ่มต้นรุ่นเกียร์ธรรมดา 535,000 บาท เกียร์อัตโนมัติเริ่มต้น 564,000 บาท เละถ้าอยากได้ตัวท้อปครบเซ็ทอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัยก็ 675,000 บาท

อีกทั้งมาสด้า เซลส์ประเทศไทย ก็วางคอมเซปต์และตำแหน่งผลิตภัณฑ์ผ่านหนังโฆษณา ทั้ง 2 เรื่องที่มีเป้ วงเสลอ เป็นพรีเซ็นเตอร์ได้อย่างชัดเจน วัยรุ่นเด็กแนวที่ชอบความเร้าใจก็ดูจะเข้าทีกับแฮชท์แบ็คมากกว่าถ้าต้องการความภูมิฐานในแบบรถเก๋ง ซีดานคือสิ่งที่ตอบสนองได้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างไรจะ 5 ประตู หรือ 4 ประตูมันก็คือ มาสด้า 2 สปอร์ตรุ่นเล็กของ สปอร์ตซูม ซูมอยู่ดี

ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

แรงแถมประหยัดแบบสุดโก้ย ฟอร์ดโฟกัส TDCi

แรงแถมประหยัดแบบสุดโก้ย ฟอร์ดโฟกัส TDCi คงไม่มีรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็กต์ยี่ห้อใดที่ใส่เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลออกมาขายในเมืองไทยช่วงนี้ นอกจากฟอร์ด ประเทศไทย มันคือ โฟกัส TDCi ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 1997 ซีซี. 136 แรงม้า และแรงบิดอีก 340 นิวตันเมตร ไม่น้อยเลยทีเดียวจำหน่ายในราคา 1,149,000 บาท

อย่าพึ่งไปสนใจว่า ฟอร์ดโฟกัสในต่างประเทศโดยเฉพาะที่ยุโรปกำลังเข้าสู่ช่วงการปรับโฉมครั้งใหม่ เพราะถึงอย่างไร แฟนๆ ฟอร์ดต้องรอไปอีกปีเศษๆ ถึงจะได้ยลโฉมโฟกัสโมเดลเชนจ์ในเมืองไทย เพราะฉะนั้นคนที่ไม่อยากจะรอกันนานขนาดนั้นโฟกัส TDCi น่าจะตอบสนองได้ดีมากเช่นกัน

รูปร่างหน้าตาของมัน ไม่แตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน กระจังหน้าขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นว่ามันเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์เมื่อไม่นานมานี้ ฉะนั้นความทันสมัยของหน้าตามีอยู่พอสมควร ภายในก็เช่นกันมันฉายภาพสไตล์รถยนต์ยุโรปได้ชัดเจน ผ่านคอนโซลหน้า และแผงควบคุมต่างๆ

แต่ที่เขียนถึงทั้งหมดนี้ไม่ใช่สาระสำคัญเลย เพราะรถยนต์ขนาดคอมแพ็กต์ของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ก็ออกแบบได้สวยงาม มีสไตล์แตกต่างตามดีเอ็นเอ ของแต่ละยี่ห้อ สิ่งที่ทำให้มันเป็นโฟกัสที่น่าสนใจและแตกต่างคือเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ 2.0 ลิตร 136 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมกับแรงบิดสูงสุดอีก 340 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบต่ำ 2,000-4,000 รอบต่อนาที อย่างที่เกริ่นไว้ต่างหาก

ลองนึกภาพการใช้งานรถปิกอัพที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลขนาด 2.5 ลิตรจะเป็นยี่ห้อใดก็ได้ ขับไปโน้นมานี้ สิ่งที่รับรู้คือ ความประหยัด และสมรรถนะของอัตราเร่งจากแรงบิดมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงแรงม้าเพราะเดี๋ยวนี้ปิกอัพส่วนใหญ่ก็ต้อง 130-140 แรงม้าขึ้นไปทั้งนี้

แล้วถ้าเป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลที่ว่านี้ มาใส่ในรถเก๋งขนาดคอมแพ็กต์อย่างโฟกัส ถ้าเทียบกับรถญี่ปุ่นก็อัสติส ซีวิค และมาสด้า 3 ประมาณนั้น น้ำหนักตัวรถน้อยกว่าปิกอัพพอสมควร มีสรีระลู่ลมมากกว่า อยากจะบอกว่าแรงม้าและแรงบิด ช่วยส่งให้โฟกัสคันนี้ทะยานไปข้างหน้าได้เร้าใจไม่เหมือนใคร แต่ในอัตราการบริโภคน้ำมันที่ต่ำกว่ารถเครื่องยนต์เบนซินเยอะทีเดียว

แม้ดีเซลของโฟกัสจะมีขนาด 2.0 ลิตร แต่สำหรับผมมันเหลือเฟือเลยหละ เก๋งหรูๆ อย่างบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ว่าจะเป็นซีรี่ส์ 3 หรือ 5 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล ก็มีขนาดเท่าๆ กันคือ 2.0 ลิตร ไม่ต้องอธิบายว่ามันแรงแค่ไหน โดยเฉพาะถ้าคุณเห็นรถที่มีรหัส “d” วิ่งอยู่ข้างหน้า

TDCi ของฟอร์ด โฟกัสก็เช่นกัน มันแรงได้ใจขาซิ่งแน่นอน ผมมีโอกาสทดสอบสมรรถนะโฟกัสตัวนี้พอสมควร ขับทั้งในกรุงเทพฯ และทางไกลๆ ถึงเพชรบูรณ์ ไม่มีอะไรเป็นข้อจำกัดของรถยนต์รุ่นนี้ถ้ามันวิ่งอยู่บนถนน จะขึ้นเขาหรือติดแหง๊กอยู่กลางเมือง มันตอบโจทย์ได้ดีเกือบทุกข้อ

ที่สำคัญคือ มันมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ เทคโนโลยีที่เรียกว่า พาวเวอร์ชิฟ เป็นเกียร์ที่ให้ความนุ่มนวลในการเปลี่นเกียร์สูง บอกได้เลยว่า คุณแทบจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นในแต่ละครั้ง ใกล้เคียงกับเกียร์ CVT แต่ฟอร์ด การันตีว่า เทคโนโลยีตัวนี้นอกจากนุ่มนวลแล้ว มันทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า เพราะมันสูญเสียกำลังช่วงเปลี่ยนเกียร์น้อยมาก อันที่จริงผมไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้สักเท่าไร แต่มันก็ทำให้ประหลาดใจอยู่เหมือนกันในความนุ่มนวลของมัน และที่สำคัญรถขนาดคอมแพ็กต์ แต่ติดตั้งชุดเกียร์พาวเวอร์ชิฟมาให้ เพราะเกียร์ตัวนี้นอกจากโฟกัส TDCi ตัวนี้แล้วก็มีแค่วอลโว่ จากสวีเดนเท่านั้นที่ติดตั้งมาให้

จะว่าไปแล้ว โฟกัส TDCi เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเด่นในทุกด้าน มันแตกต่างจากรถยนต์เซ็กเมนท์เดียวกันอย่างสิ้นเชิง สมรรนะอันสุดยอดของเครื่องยนต์ดีเซล ทั้งความแรง ความประหยัด ระบบเกียร์รุ่นใหม่ อุปกรณ์และออฟชั่น ไม่แตกต่างจากรถยนต์ญี่ปุ่น บางอย่างดีกว่าด้วยซ้ำ คิดอยู่ในใจว่าถ้าติดโลโก้โตโยต้า หรือฮอนด้าอาจผลิตไม่ทันขายก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามคงไม่เป็นไร เพราะปัจจุบันฟอร์ด ประเทศไทยก็ประเทศแผนธุรกิจที่ดูจริงจัง กับการรุกตลาดรอบใหม่ ที่แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมคือการเตรียมส่ง เฟียสต้า รถยนต์ขนาดซับคอมแพ็กต์มาสู้กับคู่แข่งในตลาด แถมด้วยการขยายดีลเลอร์ตัวแทนจำหน่ายให้ได้ 100 สาขา

ถ้าเรื่องความมั่นใจในแบรนด์ และเครือข่ายโชว์รูมศูนย์บริการสอบผ่าน ผมว่าเจ้าโฟกัส TDCi น่าจะเป็นอาวุธหนักที่หลายค่ายต้องยำเกรง เพราะมันแรง และประหยัดในระดับสุดโก้ยเลยหละ

ที่มา http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9530000066686

มิตซูบิชิเด้งเชือก ส่งแคมเปญดอกต่ำต้านคู่แข่ง

มิตซูบิชิเด้งเชือก ส่งแคมเปญดอกต่ำต้านคู่แข่ง มิตซูบิชิดิ้นหาทางสู้คู่แข่งทุกทาง ล่าสุดเปิดเกมบุกด้วยแคมเปญดอกเบี้ยต่ำ สำหรับทุกๆ ผลิตภัณฑ์ หวังสร้างศักยภาพด้านการเข้าถึงของกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่ง ซึ่งมิตซูบิชิ ไม่มีผลิตภัณฑ์ในเซ็กเมนท์รถยนต์ขนาดซับคอมแพ็กต์ ดังนั้นการปั้นยอดขายของแลนเซอร์อีเอ็กซ์ ในเซ็กเมนท์ขนาดคอมแพ็กต์ จึงต้องอาศัยแคมเปญเป็นตัวดึงดูด นอกจากนี้การเพิ่มรุ่นพิเศษ ด้วยสีขาว ในทุกผลิตภัณฑ์ก่อนหน้านี้ก็เป็นการดึงดูดความสนใจ ตามเทรนด์ของตลาดที่นิยมสีขาว การรุกด้วยแคมเปญดอกเบี้ยต่ำของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัดในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินรายใหญ่ 5 แห่งประกอบด้วย บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) , บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด, บริษัท ทิสโก้ลีสซิ่ง จำกัด , ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) โคจิ นากาฮาร่า กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ ระบุกว่า ทั้ง 5 สถาบันการเงินยินดีจะมอบข้อเสนอพิเศษ อาทิ ดอกเบี้ยต่ำ แก่ผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์มิตซูบิชิ ทั้งนี้การร่วมมือกันดังกล่าวนอกจากจะเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ที่สนใจแล้วยังมีส่วนช่วยยกระดับการขายพร้อมช่วยขยายฐานลูกค้าของมิตซูบิชิให้กว้างขึ้นอีกด้วย

แคมเปญดังกล่าวเป็นการจัดขึ้นสำหรับในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ดอกเบี้ยต่ำ 0.99% สำหรับมิตซูบิชิ ไทรทัน และ ดอกเบี้ยต่ำสุด 1.69% สำหรับรถมิตซูบิชิรุ่นอื่นๆ โดยมิตซูบิชิเผยว่า เป็นการจัดทำแคมเปญต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโชว์รถในห้างสรรพสินค้า การเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถในสภาพการใช้งานจริง รวมไปถึงการจัดกิจกรรมให้กับลูกค้าปัจจุบันในรูปแบบต่างๆ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และส่งผลให้ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกของมิตซูบิชิอยู่ที่ 7,628 คัน เติบโตขึ้น 97.77 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับยอดขายของมิตซูบิชิ ในไครมาสแรกที่ผ่านมานั้น อยู่ในลำดับที่ 5 มีส่วนแบ่งตลาด 4.7% ต่อจากค่านนิสสันที่มียอดขาย 9,462 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 5.67% ด้านผลิตภัณฑ์นั้นก่อนหน้านี้ทั้ง 2 มีรถยนต์ในตลาดที่แข่งขันในเซ็กเมนท์เดียวกัน คือกลุ่มปิกอัพ และรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็กต สิ่งที่นิสสันมีและมิตซูบิชิไม่มีคือ รถยนต์นั่งขนาดกลาง แต่มิตซูบิชิเองก็มีรถยนต์เอนกประสงค์ หรือเอ็มพีวี และนิสสันมีรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อเอนกประสงค์ขนาดคอมแพ็กต์

ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างของทั้ง 2 แบรนด์นั้น มียอดขายไม่มากมายนัก เนื่องจากเป็นกลุ่มรถยนต์ที่มีราคาค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามการเปิดตัวอีโคคาร์ของนิสสันในรุ่น มาร์ช น่าจะทำให้ยอดขายนิสสันขยับสูงขึ้นกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมา และทำให้ส่วนแบ่งตลาดของนิสสันขยับสูงขึ้น นอกจากนี้การแข่งขันในเซ็กเมนท์รถยนต์นั่งขนาดซับคอมแพ็กต์เอง น่าจะส่งผลต่อการทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็กต์ คือ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ของมิตซูบิชิไม่มากก็น้อย แม้จะเป็นตลาดคนละกลุ่มกันก็ตาม ขณะเดียวกันต้องแข่งขันกับคู่แข่งในระดับเดียวกันจากค่ายใหญ่คือ โตโยต้า อัลติส, ฮอนด้า ซีวิค และมาสด้า 3 ยังไม่นับรวมฟอร์ดโฟกัส ที่เริ่มรุกตลาดด้วยการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการในต่างจังหวัด

ดังนั้นการออกแคมเปญดอกเบี้ยต่ำจึงเป็นการสร้างแรงดึงดูดที่น่าสนใจต่อกลุ่มเป้าหมาย และการเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง อีกทั้งการมีสถาบันการเงินรายใหญ่ทั้ง 5 แห่งเข้ามาร่วม ยังเป็นช่วยเพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ซึ่งสถาบันการเงินเองก็มีลูกค้าสินเชื่ออยู่แล้สจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลูกค้าชั้นดีที่สถาบันการเงินสามารถคัดเลือกมาให้

ทั้งนี้ด้านผลิตภัณฑ์นั้น รถยนต์มิตซูบิชิ ทั้งรถปิกอัพ และรถยนต์นั่ง มีศัยภาพในการแข่งขันกับผลิตภัภณฑ์ในตลาดได้ทั้งในเรื่องรูปร่าง สมรรถนะ และความประหยัด ส่วนด้านตัวแทนจำหน่ายโชว์รูม และศูนย์บริการ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของการทำตลาดรถยนต์ในเมืองไทยนั้น มิตซูบิชิ มีเครือข่ายในระดับเดียวกับค่ายรถขนดกลางเช่น นิสสัน มาสด้า ฟอร์ด และเชฟโรเลต ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบเท่าใดนัก

ส่วนการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในส่วนรถปิกอัพนั้น ไทรทันมีการแต่งเติมเสริมอุปกรณ์ และหน้าตาให้มีความสดใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่แลนเซอร์ อีเอ็กซ์นั้น แม้จะพึ่งเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปี 2553 ที่ผ่านมา แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มีการเพิ่มรุ่นพิเศษ ตกแต่งด้วยสีขาว ซึ่งเป็นเทรนด์ความนิยมของกลุ่มผู้ใช้รถยนต์เมืองไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น และเพื่อไม่ให้เสียเปรียบคู่แข่งรายใหญ่ คือทั้งโตโยต้า ฮอนด้า และมาสด้า ที่ล้วนทำตลาดรถยนต์สีขาวมาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้การเพิ่มรุ่นพิเศษสีขาว นั้น มิตซูบิชิ เลือกใช้เป็นแคมเปญใหญ่ คือ กำหนดเป็นรุ่นพิเศษสำหรับทุกผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในไลน์ คือ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์, ปิกอัพไทรทัน, เอสยูวี ปาเจโร่ และเอ็มพีวี สเปซแวกอน นอกจากนี้กิจกรรมให้ลูกค้าได้ทดสอบสมรรถนะตามโชว์รูมต่างๆ ก็ยังดำเนินต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้มีประสบการณ์กับรถยนต์ มิตซูบิชิ ในแต่ละรุ่น โดยมีการมอบรางวัลต่างๆ อาทิ บัตรของขวัญ บัตรกำนัลต่างๆ สำหรับแลก หรือซื้อสินค้าตามห้างสรรสินค้าต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า

การเดิมกลยุทธ์ต่างๆ ของมิตซูบิชิ ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ด้วยกิจกรรม หลายๆ รูปแบบ และแคมเปญต่างๆ เป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่มีการแข่งขันกันอย่างรุกแรง ทั้งจากการบุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ และการตอบโต้จากบรรดาผู้นำตลาด ซึ่งหากมิตซูบิชิ ไม่สร้างศักยภาพด้านการแข่งขันที่แข็งแกร่ง มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ส่วนแบ่งตลาดที่มีอยู่ อาจถูกคู่แข่งเฉือนไปทีละน้อยจนหลุดจากอันดับที่ 5 ในตลาดของตนเอง
ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

วิธีเลือกซื้อ ฟิล์มกรองแสง

วิธีเลือกซื้อ ฟิล์มกรองแสง
คงใช่เรื่องเกินจริง หรือคิดไปเอง แสงแดดเดี๋ยวนี้มันช่างทั้งร้อน ทั้งแสบกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย และมันส่งผลกระทบโดยตรงกับคนใช้รถอย่างเราๆ ไม่น้อย ใครที่ขับรถออกจากบ้านตอนเช้าเข้าออฟฟิศ แล้วเย็นๆ ขับรถกลับบ้านอาจไม่ได้สัมผัส เหมือนกับคนที่ต้องออกมาทำธุระปะปังกันตอนกลางวันแสกๆ แดดจ้าๆ

ถ้าต้องเจอกับแดดกลางวันจ้าๆ รถที่ไม่มีฟิล์มกรองแสงท่าจะแย่ครับ เพราะฉะนั้นผมอยากแนะนำเกี่ยวกับการเลือกซื้อฟิล์มกรองแสงมาติดมาฝากครับ สำหรับคนที่จะติดใหม่ หรือเปลี่ยนฟิล์มเก่าที่หมดอายุไข

ข้อเท็จจริงคือแสงแดดที่ส่งลงมานั้น ใน 100 ส่วนจะมีองค์ประกอบของรังสีอุลตร้าไวโอเลต 3% แสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 44% และอีก 53 % นั้นเป็นรังสีอินฟราเรด ดังนั้นฟิล์มกรองแสงบางรุ่นแม้จะสามารถป้องกันรรังสีอินฟราเรดได้สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถลดความร้อนจากแสงแดดได้สูงด้วย

การเลือกซื้อฟิล์มมาติดตั้งควรยึดเอาค่าการลดความร้อนรวมจากแสงแดด หรือ Total Solar Energy Rejected ซึ่งน่าจะเป็นค่าที่ถูกต้องที่สุด นอกจากนี้ตอนเลือกฟิล์มกรองแสงโดยวิธีการวัดความร้อนจากแสงไฟสปอร์ตไลท์ ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะแสงแดดกับแสงสปอร์ตไลท์นั้นมันคนละอย่างกันเลย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้วัดกันแสงแดดตรงๆ ไปเลย และใช้เครื่องมือวัดค่าพลังงานความร้อน จะได้ฟิล์มที่ตรงกับความต้องการ

ส่วนความเข้ม หรือสว่างของฟิล์มนั้น ผมแนะนำให้ติดแล้วไม่ทำให้ทัศนวิสัยการขับขี่เสียไป บางทีขับกลางวันยังพอมองเห็น แต่ตกดึกมองไปทางไหนก็มืดไปหมด จะถอยหลังก็ดูแล้วดูอีก ไม่แน่ใจเพราะมองเห็นไม่ค่อยชัด หรือถ้าอยากได้ฟิล์มมืดๆ หน่อยแต่ไม่บังทัศนวิสัย ก็แนะนำให้ติดเหมือนกับรถญี่ปุ่นก็ได้ครับ กระจกบานหน้า และกระจกหน้าต่างคู่หน้าติดความเข้มสัก 20-40 ก็ได้ ส่วนบานหลังจะติดสัก 60-80 ก็ยังได้อย่างน้อยทัศนวิสัย ด้านหน้ายังไม่ลดลงสักเท่าไร

แต่สำหรับคนที่ได้ฟิล์มกรองแสงที่ติดตั้งมาจากศูนย์บริการ ตอนซื้อรถใหม่ ผมแนะนำให้เช็คยี่ห้อดูก่อน แล้วหาโอกาสแวะไปเปรียบเทียบคุณภาพฟิล์มจากร้านประดับยนต์ทั่วไปครับ ถ้าดูแล้วคุณภาพไม่น่าพอใจก็ลองเจรจาขอเปลี่ยน หรือถ้าพนักงานขายไม่ยอมให้เปลี่ยน บางทีอาจต้องยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดหน่อย เพื่อให้ได้ของที่มีคุณภาพ จะได้ไม่ต้องใช้ไปหงุดหงิดไปครับ

เรื่องยี่ห้อกับราคา ก็ดูกันตามความเหมาะสมครับ เพราะฟิล์มคุณภาพดี ราคาจะใกล้เคียงกัน ห่างกันไม่กี่ร้อยบาทครับ

ที่มาโดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Bertone Pandion : สปอร์ตสุดล้ำมีดีที่ประตู


Bertone Pandion : สปอร์ตสุดล้ำมีดีที่ประตู
24 มิถุนายนปีนี้ อัลฟา โรมีโอ แบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาเลี่ยนจากฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท และแน่นอนว่าช่วงเวลาของความพิเศษในครั้งนี้ ทางสำนักออกแบบ 2 แห่งใหญ่ของอิตาลีอย่างพินฟารินา และเบอร์โทเนต่างพัฒนาต้นแบบรุ่นใหม่ๆ ออกมาฉลองในวาระพิเศษของอัลฟาครั้งนี้ด้วย

เพราะอัลฟาถือเป็นลูกค้าชั้นดีที่เคยทำงานร่วมกับสำนักออกแบบทั้ง 2 แห่งมาแล้ว โดยผลผลิตทั้ง 2 คันถูกเปิดตัวใน “เจนีวา มอเตอร์โชว์ 2010 “ ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 4-14 มีนาคมที่ผ่านมา

เริ่มกันที่เบอร์โทเน สำนักออกแบบที่ร้างราจากการเข้าร่วมงานนี้มา 2 ปีเต็มเพราะปัญหาทางด้านการเงินก็มากับต้นแบบรุ่น Pandion สวยล้ำสมัยขนาดพอเหมาะด้วยความยาว 4,620 มิลลิเมตร กว้าง 1,971 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร โดยถือเป็นผลงานออกแบบของไมค์ โรบินสัน หัวหน้าทีมออกแบบคนใหม่ของทางเบอร์โทเนที่พัฒนาโดยอิงพื้นฐานต่อเนื่องมาจากสปอร์ตรุ่น 8C Competizione ส่วนเครื่องยนต์ก็เป็นเบนซินวี8 4,700 ซีซี 450 แรงม้า

สำหรับชื่อรุ่นเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ของเหยี่ยวทะเลพันธุ์หนึ่ง ที่ทำรังอยู่ตามชายฝั่งซึ่งมีชื่อเต็มว่า Padion Haliaetus และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทางเบอร์โทเนนำชื่อทางวิทยาศาสตร์ของสัตว์หรือสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติมาใช้ในการตั้งชื่อรุ่นรถยนต์ต้นแบบ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีทั้ง Corvair Testudo (เต่าทะเล-1963), Alfa Romeo Canguro (จิงโจ้-1964), Carabo (นกเค้าแมว-1968) และ Delfino (ปลาโลมา-1983)

นอกจากนั้น ชื่อนี้ก็มีส่วนเกี่ยวพันกับการออกแบบของตัวรถ เพราะด้วยลักษณะการเปิดประตูที่มีลักษณะยกเฉียงไปทางด้านหลังและสามารถตั้งขึ้นสูงทำมุม 90 องศากับตัวรถ ซึ่งเมื่อวัดความสูงโดยรวมของตัวรถและประตูที่ตั้งชันขึ้นมาแล้วมากถึง 3.6 เมตรเลยทีเดียว โดยเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับประตูแบบ Scissor Door (คล้ายกับลัมบอร์กินี ไดอะโบล) ซึ่งจะเปิดประตูในลักษณะเฉียงไปทางด้านหน้า

โดยข้อต่อของบานประตูนี้จะเชื่อมต่อกับซุ้มล้อหลัง ทำให้มองดูแล้วคล้ายกับนกกำลังกางปีกออกมา ซึ่งทางโรบินสันได้นำเอากายวิภาคการทำงานของปีกเหยี่ยวทะเลพันธุ์นี้มาประยุกต์ใช้กับการเปิดประตูของสปอร์ต้นแบบรุ่นนี้ และให้ความปลอดภัยแบบสุดๆ เพราะเมื่อพลาดท่าขับตีลังกา บานประตูถูกออกแบบให้สลัดหลุดจากตัวรถได้เลย และทำให้ผู้ขับหรือผู้โดยสารที่อยู่ด้านในสามารถออกจากห้องโดยสารได้โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์งัดแงะใดๆ

อีกทั้งรูปลักษณ์ด้านหน้าก็เน้นความสวยสปอร์ตและได้รับอิทธิพลจากการออกแบบของส่วนหัวของเหยี่ยวพันธุ์นี้ด้วยเช่นกัน และทางโรบินสันบอกว่า สไตล์การออกแบบเช่นนี้น่าจะเหมาะสมสำหรับเป็นแนวทางการออกแบบสไตล์ใหม่ของรถยนต์อัลฟาในอนาคต
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ทางเบอร์โทเนถือเป็นผู้นำแฟชั่นในการคิดค้นรูปแบบของการเปิดประตูที่ไม่เหมือนใคร และต้นแบบในอดีตที่สร้างความฮือฮามาแล้ว ก็เช่น 1968 Alfa Romeo Carabo, 1970 Lancia Stratos 0, 1972 Lamborghini Countach และ 2007 Fiat Barchetta

นอกจากนั้น สไตล์การสร้างสรรค์ตามจุดต่างๆ ของตัวรถยังสอดคล้องกับความเป็นอัลฟา ไม่ว่าจะเป็น Theme การออกแบบตัวรถที่เรียกว่า Skin&Frame ที่สื่อถึงงู และคบเพลิง ซึ่งเป็นโลโก้ของอัลฟา เพื่อให้สัมผัสที่พิเศษซึ่งสื่อออกมาถึงความเป็นอัลฟาอย่างแท้จริง
ส่วนในห้องโดยสารเน้นความสวยล้ำสมัยด้วยการเล่นโทนสีและการเลือกใช้วัสดุที่แปลกใหม่ในการตกแต่ง โดยตัวรถมากับสไตล์ 2+2 ที่นั่ง ส่วนเบาะหน้ามีความพิเศษในด้านการออกแบบ เพราะตัวเบาะถูกออกแบบให้มีความบางเฉียบทั้งตัวที่นั่งและพนักพิงหลัง ซึ่งมีความหนาตลอดทั้งตัวเบาะเพียง 30 มิลลิเมตร ทำให้พื้นที่ของเบาะด้านหลังเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย ซึ่งโครงสร้างของตัวเบาะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และใช้ Technogel ในการขึ้นรูปเพื่อให้มีทั้งความแข็งแกร่งและเบา ก่อนจะใช้วัสดุที่เรียกว่าใย reLIGHT หุ้มตลอดทั้งตัว

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์