วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไทย-เขมรเปิดฉากฉะกันรอบใหม่อีกรอบเจ็บอื้อ

ไทย-เขมร ยิงปืนเล็กปะทะกันบนภูมะเขืออีกระลอก ผลทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 5 นาย และสาหัส 1
ผู้สื่อข่าวรายงานด่วน ว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ 15 ก.พ. ได้เกิดเสียงปืนใหญ่ดังติดต่อกัน ที่พลาญอินทรีย์ ใกล้กับภูมะเขือ บนเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขตพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม. ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 2 กม. โดยพื้นที่ดังกล่าว เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการทหาร กองร้อยสนับสนุนที่ 81 และ 82 กองพลน้อยสนับสนุนที่ 8 กองทัพบกกัมพูชา จำนวน 200 นาย ที่มี พล.ต.ยึม ปรึม เป็นผู้บัญชาการ ซึ่งทหารกัมพูชาได้ระดมยิงปืนอาก้า เอเค 47 จรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจี 7 ใส่ฐานปฏิบัติการทหาร หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ของไทย

ซึ่งทหารพรานไทยได้ขว้างระเบิดมือเอ็มเค 2 เข้าใส่ ยิงปืนเอ็ม 16 เอชเค 33 เอ็ม 79 และจรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจี 7 ตอบโต้ เพื่อสกัดไม่ให้ทหารกัมพูชารุกล้ำคืบคลานเข้าใกล้ฐาน แต่ทหารกัมพูชากลับยิงปืนใหญ่ ค.60 ค.82 และปืนใหญ่สนามเอ็ม 46 ไทป์ 59-1 ขนาด 130 มม. ถล่มอีกรอบ ฝ่ายไทยจึงยิงปืนใหญ่สนามไทป์ 59 ขนาด 130 มม. และปืนใหญ่แอลจี 1 เอ็มเค 2 ขนาด 105 มม.สวนกลับคืน พร้อมกับขอสนับสนุนกำลังจากกองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 โดยฝ่ายกัมพูชา พล.ต.เยือง โซะคน ผบ.กองพลน้อยสนับสนุนที่ 11 ก็นำกำลังทหารกองร้อยสนับสนุนที่ 111 และ 113 จำนวน 220 นาย เคลื่อนพลสนับสนุนกำลังด้วย

การปะทะกันดังกล่าว ใช้เวลายาวนานกว่า 3 ชม. เมื่อฟ้าสางจึงได้สิ้นสุดเสียงปืน โดยฝ่ายไทยมีทหารได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ในจำนวนนี้มีบาดเจ็บสาหัส 1 นาย ซึ่ง พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์รับตัวไปรักษาที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว โดยที่ทหารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใด ๆ กับสื่อมวลชนไทย อีกทั้ง ไม่ยอมรับว่ามีการปะทะกันเกิดขึ้น เพราะผู้บังคับบัญชาระดับสูงสั่งห้ามให้ข่าว เนื่องจากกลัวชาวบ้านชายแดนแตกตื่นเสียงปืนใหญ่ที่ดังขึ้นตั้งแต่เช้ามืด

ทำให้สถานการณ์ที่หมู่บ้านชายแดน โดยเฉพาะตำบลรุง เสาธงชัย ละลาย และ ต.ซำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งชาวบ้านเพิ่งอพยพกลับได้แค่ 2 วัน ก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้งทันที เมื่อเสียงปืนใหญ่ดังติดต่อกันหลายนัด จนสั่นสะเทือนมาถึงหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นหวาดระแวง และกลัวว่าเหตุปะทะกันจะเกิดขึ้นอีก พากันวิ่งเข้าหลุมหลบภัยกันวุ่น บางคนหอบหิ้วลูกหลานมาอาศัยนอนที่ศูนย์อพยพชั่วคราว ที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 40 กม. บ้างก็ขับรถหนีเสียงปืนใหญ่ โดยไม่มีจุดหมายว่าจะไปที่ใด

บรรยากาศที่โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย ซึ่งถูกกระสุนจรวดบีเอ็ม 21 ของกัมพูชา ตกใส่ ได้รับความเสียหายในครั้งปะทะกัน เมื่อวันที่ 4-6 ก.พ.ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่สอง ในการเปิดทำการเรียนการสอน บรรดาครู และนักเรียนช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง พร้อมด้วยเก็บซากลูกกระสุนจรวดมาวางโชว์ในตู้กระจกด้วย นักเรียนมาเรียนเพียงไม่กี่คน ซึ่งทางโรงเรียนได้กางเต็นท์สอนข้างหลุมหลบภัย เพื่อความปลอดภัย

ขณะที่ โรงเรียนอื่น ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะ รร.บ้านภูมิซรอล แทบจะกลายเป็นโรงเรียนร้าง เพราะไม่มีเด็กมาเรียน

ส่วน พ.ต.ท.เปียว ทองแก้ว สว.สส.สภ.บึงมะลู เปิดเผยว่า ได้ฝึกทบทวนแนวปฏิบัติให้กับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้สังเกตบุคคลแปลกหน้าที่อาจแอบแฝงมากับผู้อพยพ ซึ่งอาจจะเป็นสายลับของกัมพูชา หรือมิจฉาชีพที่จะก่อเหตุลักทรัพย์ พร้อมทั้งประสานกับหน่วยทหารที่ลาดตระเวนในพื้นที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ดูแลทรัพย์สินประชาชน ตามแผนปฏิบัติการป้องกันรักษาที่ตั้ง และพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ที่ได้ซักซ้อมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะหากชาวบ้านอพยพหนีภัยก็จะไม่มีใครดูแลบ้านเรือน อาจมีมิจฉาชีพแฝงตัวก่อเหตุได้

ขณะเดียวกัน ร.อ.ชาตรี ผลนาค นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า จากกรณีที่ตำรวจควบคุมตัว นายบุญทิน ปัสสาสุ อายุ 28 ปี ราษฎร อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ พร้อมของกลาง ที่เชื่อว่าเป็นกระดาษจดรหัสลับ ตลับเมตร หมุดปักระยะ ยาเส้น มีดปลายแหลม โทรศัพท์มือถือ เงินสดจำนวนหนึ่ง ขณะแฝงตัวอยู่พื้นที่หมู่ 12 บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย โดยต้องสงสัยว่าจะเป็นสายลับ ให้กับประเทศกัมพูชานั้น ปรากฏว่า ญาติพี่น้องผู้ต้องสงสัยได้พาผู้นำหมู่บ้าน มายืนยันว่า นายบุญทิน มีอาการทางประสาท และขอรับตัวกลับบ้าน ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงได้ทำการบันทึกประวัติ และปล่อยตัวไปเรียบร้อยแล้ว เพราะยังขาดหลักฐานที่จะเอาผิด

นายกฯ พอใจ UNSC “สุเทพ” ยันไม่ถอนทหาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานผลการชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แล้ว ซึ่งผลก็เป็นไปตามที่ไทยต้องการ คือ ยูเอ็นเอสซีขอให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบอย่างถาวร และให้ใช้แนวทางการเจรจาทวิภาคีในการยุติปัญหา โดยเชื่อว่าจะสามารถลดปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดนได้ อย่างไรก็ตาม ทางกัมพูชาไม่สามารถที่จะปฏิเสธแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเป็นฝ่ายเสนอปัญหาเข้าสู่ยูเอ็นเอสซีเอง

ทั้งนี้ ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ จะใช้โอกาสในการหารือทวิภาคีกับกัมพูชา เพื่อเดินหน้ากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของกระบวนการทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา และการห้ามยกระดับปัญหา รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานงานในหลายช่องทางแล้ว

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ยืนยันว่า ข้อเสนอของยูเอ็นเอสซี ที่สนับสนุนให้ไทย-กัมพูชา เจรจาแบบทวิภาคี จะไม่มีผลให้ไทยต้องขยับกำลังทหารออก กองทัพต้องตรึงกำลังไว้พร้อม และมติดังกล่าว ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความพยายามของกัมพูชาที่จะขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เชื่อว่าจากนี้ไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศน่าจะดีขึ้น

ขณะที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขา สมช. บอกว่ามติของยูเอ็นเอสซีเป็นไปตามคาด ชี้ไทยกัมพูชายังมีผลประโยชน์ร่วมกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ต้องรักษาไว้ พร้อมเตือนม็อบอย่ายั่วยุ

ที่มา เดลินิวส์