วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไทย-เขมรปะทะเดือดกันแล้วบนภูมะเขือ

ยิงปะทะเดือด ทหารไทย-เขมร ใกล้พระวิหาร กระสุนตกฝั่งไทยกว่า 10 ลูก แม่ทัพภาค 2 ยันทหารเขมรลงมือยิงก่อน
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ บริเวณด่านตรวจที่ 1 สะพานห้วยดาน ถนนวิหาร หมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหาร 10 กม. ว่า ทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี และกองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 พร้อมอาวุธครบมือ ยังคงห้ามบุคคลภายนอกและยานพาหนะ ที่ไม่เกี่ยวกับกองทัพไทย ผ่านเข้าออกอย่างเด็ดขาด เนื่องจากทหารในสังกัดกองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 ได้ทำการซ้อมรบตามยุทธวิธีทหาร ที่บริเวณเทือกเขาพนมดงรักใกล้กับพื้นที่พิพาทเชิงเขาพระวิหาร

โดยทหารเกณฑ์และทหารอาสา ได้ทำการฝึกขุดหลุมหลบภัยหลังเขตแดน และขุดหลุมดินขนาดใหญ่ เอากระสอบบรรจุทรายมาวางเรียงและใช้ดินที่สั่งซื้อจากเอกชนมาถมทับทำเป็นเนิน พร้อมนำผ้าใบมากางบังแดดกันฝน สร้างเป็นบังเกอร์เรียงรายหลายร้อยหลุม ท่ามกลางสายตาของทหารกัมพูชา ที่ตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่พิพาท ซึ่งเฝ้าดูการฝึกของทหารไทย อย่างให้ความสนใจ ส่วนทหารกรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 ได้เคลื่อนปืนใหญ่ รุ่นจีเอชเอ็น 45 ขนาด 155 มม. และรุ่นแอลจี 1 เอ็มเค 2 ขนาด 105 มม. เข้าประจำการตามฐานต่างๆ เสริมกับกองทัพรถถังหลักรุ่นเอ็ม 60 เอ 1 และเอ 3 ที่เข้าประจำการก่อนหน้านี้แล้ว

แหล่งข่าวทหารกัมพูชา เปิดเผยว่า ทหารการข่าวกัมพูชา ได้รับคำสั่งให้ติดตามความเคลื่อนไหว ของกองกำลังทหารไทยอย่างใกล้ชิดและรายงานสถานการณ์ให้ทราบทุกครึ่งชั่วโมง เนื่องจากไม่ไว้วางใจว่า จะเป็นการซ้อมรบตามที่กล่าวอ้าง กัมพูชาจึงได้ส่งรถถังหลักรุ่นไทป์ 59 ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ผลิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน เคลื่อนจากศูนย์ฝึกรถถัง จ.กัมปงชนัง มาเสริมทัพรถถังหลักรุ่นที 55 ที่มาประจำการก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมเสริมเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง รุ่นพีเอฟ 89 ขนาด 80 มม. ให้กับหน่วยเผชิญหน้าแทนอาร์พีจี 7 ด้วย โดยมีภารกิจหลักคือ ป้องกันมิให้ทหารไทย บุกเข้ามาถอนธงชาติกัมพูชา ที่ปักอยู่เหนือซุ้มประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ

ส่วนแหล่งข่าวทหารไทย กล่าวว่า กัมพูชาส่งรถถังรุ่นใหม่มาประชิด ก็เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันตนเอง เพราะสถานการณ์ในพื้นที่ค่อนข้างคุกรุ่น ต่างฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกัน ผู้บัญชาการหน่วยทหารในพื้นที่ ก็ยังเจรจากันไม่ลงตัว เนื่องจากไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ต่างต้องรอดูท่าทีรัฐบาล กลายเป็นว่า ตรึง-รุก-ถอย-ซ้อม อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ขอยืนยันว่ากำลังพลในพื้นที่ ไม่ได้รับคำสั่งให้บุกเข้าไปยึดวัดแก้วฯ หรือถอนธงชาติกัมพูชาแน่นอน ถือเป็นเรื่องปกติที่กองกำลังทหารอยู่ที่ใด ก็จะมีธงชาติอยู่ที่นั่น หากกองกำลังทหารไทยไปที่วัดแก้วฯ ก็จะนำธงชาติไทยไปด้วยเช่นกัน แต่เราคงไม่ปักคู่ธงชาติกัมพูชา เพราะจะกลายเป็นว่าท้าทายกัน ส่งผลให้เกิดการปะทะตามมาได้ง่ายๆ สรุปก็คือทั้งทหารไทยและเขมร ไม่มีใครอยากรบ มันหมายถึงความสูญเสีย ทหารพลีชีพมา ใครรับผิดชอบ ชาวบ้านก็เดือดร้อน

ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี (เจซี)ไทย-กัมพูชา ร่วมกับนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ ได้หารือแบบสองต่อสองนานประมาณ 20 นาที

จากนั้นนายฮอร์ นัม ฮง ได้กล่าวเปิดประชุมเจซีไทย-กัมพูชา ว่า ขอแสดงความยินดีที่สังเกตเห็นว่า 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น หลังมีการพบปะกันหลายครั้ง รวมทั้งมีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนทั่วไทย (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่เมืองพัทยา การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างรัฐมนตรีและสื่อมวลชน การฉลองครบ 60 ปีความสัมพันธ์ 2 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาที่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศเดินทางไปมาหาสู่และทำมาค้าขายระหว่างกันมากขึ้น ขณะที่เอกสารผลการประชุมเจซีจะเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติใช้ เพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศดีขึ้น

"เป็นเรื่องปกติที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันก็ต้องมีปัญหาคั่งค้าง ซึ่งเราต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขต่อไป" นายฮอร์ นัม ฮง กล่าว

ขณะที่นายกษิต กล่าวว่า สังคมไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ข้องแวะกันมานานหลายร้อยปี เรามีความเหมือนมากกว่าความต่างซึ่งสามารถนับเป็นต้นทุนร่วมกัน รัฐบาลและประชาชนควรส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประเทศที่ติดกันตัดขาดกันไม่ได้ ปัญหากระทบกระทั่ง ความเข้าใจผิด และมุมมองที่ต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความเหมือนในอดีตและอนาคตที่ดีร่วมกันมีอีกมากมาย เราต้องไม่ให้ปัญหาเป็นปัญหาต่อเนื่องและขยายเป็นปัญหาต่อๆไป แต่ต้องมุ่งแก้ปัญหาควบคู่ไปกับการร่วมมือเพื่อความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ

"แม้จะมีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 แต่ไทย-กัมพูชาก็สามารถประชุมเจซีร่วมกันได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของ 2 ประเทศที่จะร่วมกันส่งเสริม และกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าแน่นแฟ้นและแสดงให้โลกเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศยังคำนึงถึงภาพใหญ่ มีความสุขุม มีสติที่จะฟันฝ่ากระแส และกระทำในสิ่งที่ควรทำ เราต้องมองข้ามความขัดแย้งที่เกิดจากปมปัญหาในอดีต และต้องไม่ให้อดีตมาเป็นอุปสรรคต่ออนาคต" นายกษิต กล่าว

ต่อมานายกษิต ได้เปิดเผยอีกครั้งหลังการประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง ว่า การประชุมทั้งในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรี เป็นไปด้วยความราบรื่น มีบรรยากาศที่อบอุ่นและสร้างสรรค์ โดยพูดคุยกันถึงความร่วมมือที่ค่อนข้างสมบูรณ์และรอบด้าน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้กระชับยิ่งขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนและประชาชนโดยรวม สำหรับการหารือกับนายฮอร์ นัม ฮง นั้น ได้พูดถึงภาพรวมของความสัมพันธ์ว่าจะขับเคลื่อนไปอย่างไร รวมถึงการที่จะให้ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนไปได้ เพราะมีเรื่องที่ 2 ฝ่ายสามารถทำร่วมกันได้ในระหว่างที่รอรัฐสภาพิจารณาบันทึกการเจบีซีฯ ทั้ง 3 ฉบับ

นอกจากนี้ยังคุยถึงเรื่องที่ 2 ฝ่ายจะพยายามในการสร้างความสงบตลอดแนวชายแดน ทั้งการให้ข่าวสารข้อมูล การดูแลรักษาความปลอดภัย และการพยายามหลีกเลี่ยงการดำเนินการสิ่งที่จะสร้างความขัดแย้ง ซึ่งตนได้ขอบคุณที่นายนัม ฮง ที่ช่วยประสานให้ตนได้เข้าเยี่ยมนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ รวมถึงยังได้ขอให้กัมพูชาเร่งดำเนินการด้านต่าง ๆ และการพิจารณาให้ทั้ง 2 คนกลับไทยได้ โดยดูว่ากระบวนการยุติธรรมจบตรงไหน และฝ่ายบริหารจะเข้ามาต่อได้อย่างไร เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องคาใจหรือก่อให้เกิดแรงกดดันที่จะทำให้มีผลกระทบกับความร่วมมือ 2 ฝ่าย ซึ่งตนคิดว่านายนัม ฮง น่าจะเข้าใจประเด็นของความเป็นไปในการเมืองภายในของไทยที่เกี่ยวกับนายวีระ และรู้ว่าเราจะต้องร่วมมือกันในการบรรเทาประเด็นปัญหา เพื่อให้ความสัมพันธ์ในภาพรวมมีความคืบหน้า เพราะมีสิ่งที่เราต้องทำร่วมกันอีกมาก

เมื่อถามว่า ได้คุยเรื่องปัญหาบริเวณปราสาทพระวิหาร การปลดธง และเรื่องวัดแก้วสิขาคีรีสะวาระหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ได้พูดกันหมดแล้วว่าเรื่องอย่างนี้สร้างความร้อนแรง และไม่ได้มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้โกรธกัน อะไรที่เลิกรากันได้ก็ทำกันไป และเมื่อพูดคุยกันแล้วตกลงกันในหลักการว่าจะไม่สร้างความหวั่นไหว โต้ตอบกันไปมา หลีกเลี่ยงการกระทำอะไรที่จะเป็นการปลุกระดม ปลุกเร้า สร้างความเข้าใจผิดหรือสร้างความตึงเครียดทั้ง 2 ฝ่ายต้องพยายามบอกคนในประเทศตัวเองว่าให้บรรเทากันไว้ ซึ่งตนบอกนายนัม ฮง ว่าถ้ามีอะไรก็ให้โทรศัพท์หากันโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ลุกลาม

เมื่อถามถึงการที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเส้นตายให้นำตัวนายวีระ และน.ส.ราตรี กลับไทยภายในวันที่ 5 ก.พ.นี้ โดยไม่มีคดีติดตัว นายกษิต กล่าวว่า คนพูดมันก็พูดง่าย แต่ต้องดูเหตุและที่มาที่ไปเสียก่อน รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลือทุกอย่างอย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การนำตัวคนทั้งสองกลับมาก็อยู่ที่ทั้งสองด้วยว่าจะเอาอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาตอบรับในหลักการที่จะให้ไทยนำเอาสระตราวและโบราณสถานโดยรอบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกและบริหารจัดการร่วมกับฝ่ายไทย นายกษิต กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ประเด็นเหล่านี้มีคณะกรรมการระดับชาติที่ดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญคือเรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบจะว่ากันฝ่ายเดียวไม่ได้

ด้านนายนัม ฮง กล่าวว่า การประชุมมีการสานต่อปัญหาหลายเรื่องที่สำคัญคือหารือเรื่องการค้ามนุษย์ที่คนกัมพูชาถูกหลอกลวงเข้าไปค้าแรงงานในไทยและถูกจับกุม ซึ่งอยากให้ฝ่ายไทยช่วยดูแลโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน ถ้าคนกัมพูชาทำผิดก็สามารถจับกุมได้แต่อย่าใช้วิธีรุนแรงเช่นถูกยิงแต่ให้ดำเนินการการไปตามกฎหมาย การทำเอ็มโอยูเรื่องราคาสินค้าเกษตร นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงการเปิดด่านใหม่นอกเหนือจากที่มีอยู่เพื่อเป็นช่องทางให้คนสองประเทศไปมาหาสู่กันได้สะดวกมากขึ้น

นายนัม ฮง กล่าวอีกว่า ในส่วนปัญหาชายแดน นายกษิต ได้แจ้งว่าจะมีการดำเนินการเรื่องเจบีซีให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอให้เอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับ ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อน เพราะมีสิ่งที่สามารถทำได้ก่อนคือ การทำภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อหาหลักเขตทั้งหมด ควบคู่กับการให้ผู้เชี่ยวชาญลงตรวจสอบพื้นที่ทางบก ซึ่งขณะนี้มีหลักหมุดที่หาเจอแล้ว 33 หลักเขต ที่ยังถกเถียง 15 หลัก และหาไม่เจอ 25 หลัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดน ทั้งนี้ตนเห็นว่าการประชุมเจบีซีเร็วขึ้นจะได้ช่วยลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามแนวชายแดนเกิดความตึงเครียดเพราะมีการเสริมกำลังทหาร นายนัม ฮง กล่าวว่า ไม่มีความตึงเครียดเลย สถานการณ์ก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยนำอาวุธมาฝึกตามแนวชายแดน กัมพูชาจึงต้องนำอาวุธไปฝึกตามแนวชายแดนเหมือนกัน เราก็ต้องเตรียมตัวไว่ก่อน แต่ตนเชื่อมั่นว่าในเวลานี้จะไม่มีการปะทะกันตามแนวชายแดน

เมื่อถามว่า ได้มีการพูดถึงเรื่องวัดแก้วฯ และข้อเรียกร้องให้ปลดธงชาติกัมพูชา หรือไม่ นายนัม ฮง กล่าวว่า วัดแก้วฯ อยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา ส่วนเรื่องจะย้ายธงไปตรงไหนนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะที่นั่นคือดินแดนของเรา

ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00น. เกิดเหตุทหารไทยยิงปะทะกับทหารกัมพูชา บริเวณบ้านภูซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยเบื้องต้นทราบว่าขณะทหารไทยยกกำลังประชิดวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทหารกัมพูชาจึงเปิดฉายยิงเข้าใส่กลุ่มทหารไทยทันที จนเกิดการปะทะกันขึ้น เบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็หลังทั้ง 2ฝ่ายปะทะกัยนานกว่า 10 นาทีได้เกิดควันไฟพวยพุ่งขึ้นบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร

พล.ท.ธวัชชัย สุมทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ทหารเขมรได้เปิดฉายยิงทหารไทยก่อนโดยมีลูกกระสุนปืนใหญ่มาตกในฝั่งไทยกว่า 10 ลูก อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้อพยพชาวบ้านในจุดเกิดเหตุไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว

ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้วว่ามีกระสุนปีนใหญ่ของกัมพูชามาตกใกล้ฐานทหารไทย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการยิงเตือนกลับไป และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. อยู่ระหว่างเจรจากับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา

ด้านสำนักข่าวเอเอฟฟีรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่า ทหารไทย กับทหารกัมพูชาได้เกิดการปะทกันขึ้นใกล้กับปราสาทพระวิหาร โดยนายเขียว หันหะริธ โฆษกรัฐบาลกัมพูชา แถลงว่า มีการปะทะกันจริง.

ที่มา : คลิปวีดีโอจากช่อง 3 ,เดลินิวส์