วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

สาวไส้ให้กากิน"แอนนี่"ปัด18มงกุฎ-จุ๊นลาทีวี3 วันพฤหัสบดี ที่ 30 กันยายน 2553

สาวไส้ให้กากิน"แอนนี่"ปัด18มงกุฎ-จุ๊นลาทีวี3 วันพฤหัสบดี ที่ 30 กันยายน 2553 “จุ๊น”โบกมือลาช่อง 3 ปัดสัมพันธ์”แอนนี่” โบ้ยเงินสิบล้านซื้อตนเองไม่ได้”แอนนี่”โต้กลับไม่ใช่ 18 มงกุฎ
วันนี้ 30 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นฮ็อท ร้อนฉ่าขึ้นมาอีกระลอก ภายหลัง เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ บิ๊กบอสอาร์เอส ออกมาแถลงข่าวอย่างไม่กลัวถูกฟ้องร้อง ตีแสกหน้า”แอนนี่ บรู๊ค”ว่า คบหาผู้ชายพร้อมกันทีเดียวถึง 4 คน แถมหลังตั้งท้องยังบอกกับทุกคนว่าเป็นพ่อของเด็กในท้อง เรียกเงินคนละ 2.5 แสนบาท อ้างได้รับข้อมูลจากผู้บริหารช่อง 3 ว่า หนึ่งในนั้นคือ จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข นักแสดงหนุ่มช่อง 3 จนเจ้าตัวต้องออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น ด้านแอนนี่ โบ้ยกลับไม่เคยรับเงินใคร แต่ยังไม่พร้อมโต้ตอบใครตอนนี้ ขณะที่องค์กรสิทธิสตรีดาหน้าออกมาตำหนิเฮียฮ้อว่าพูดจาไม่ให้เกียรติลูกผู้หญิง พร้อมๆ กับกระแสสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าบิ๊กอาร์เอส โอบอุ้มฟิล์ม-รัฐภูมิ มากเกินไป โดยไม่นึกถึงหัวอกอีกฝ่ายที่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ตามที่เสนอข่าวมาตลอด 2 สัปดาห์แล้วนั้น

“แอนนี่”โต้ไม่ใช่18มงกุฎ
ความคืบหน้า เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ดาราสาวแม่ลูกหนึ่ง”แอนนี่ บรู๊ค” ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับรายการ”ไนน์เอนเตอร์เทน”ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ตอบโต้”เฮียฮ้อ”นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) ว่า”แอนนี่ยิ่งพูดก็ยิ่งเสียหาย เพราะเราเป็นผู้หญิง แอนนี่ไม่ใช่สิบแปดมงกุฎนะ ตอนนี้อากาศจะหายใจ ไม่รู้ว่าได้หายใจเข้าหรือยัง ที่จะยืนยังไม่มีเลย แอนนี่นึกว่ามันหมดยุคที่ผู้หญิงเพศแม่ หรือว่าคนที่กำลังจะเป็นแม่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้มากมายเหลือเกิน มันเกินกว่าผู้หญิงคนเดียวจะรับไหว ตอนนี้ก็พูดคำเดียวว่าท้อนะ ใจยังสู้แต่ก็ท้อเพราะแอนนี่มีแค่หนึ่งสมองสองมือแล้วต้องเลี้ยงลูกเองทุกวัน ไม่ได้มีเวลามานั่งคุยโทรศัพท์หรือนั่งคิดแผนการ หรือไปนั่งปั่นหัวใคร มีแค่หนูกับลูกจริงๆ หนูจะออกมาพูดอะไรมากก็ดูไม่ดีอีก ทุกท่านเป็นผู้ใหญ่หมดเลย หนูเป็นแค่คนคนเดียว รู้สึกว่าตอนนี้อยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครมาช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ถามว่าน้อยใจไหมท้อไหมก็มีบ้างเพราะเรื่องมันลุกลามใหญ่โตกลายเป็นอะไรไม่รู้เต็มไปหมด มีคนอยากจะมาเป็นพ่อของลูกหนูเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าถามว่าหนูไปมีอะไรกับคนอื่นในเวลาเดียวกัน แค่พูดก็รู้สึกแย่มากแล้ว หนูท้องอยู่นะ คนเป็นแม่ถ้าท้องอยู่เขาไม่อยากเสี่ยงให้ลูกตัวเองติดโรคเลย”

ยังไม่รู้จะฟ้อง”เฮียฮ้อ”หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าโกรธเฮียฮ้อไหมที่ออกมาพูดแบบนี้ แอนนี่ กล่าวว่า“ไม่ค่ะ ผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะยังไงก็ตามท่านก็เป็นผู้ใหญ่ หนูให้ความเคารพผู้ใหญ่ทุกท่าน ถ้าอย่างหนูโดนแม่ตีถึงแม้แม่จะเข้าใจหนูผิด แต่แม่ก็ไม่ผิดเพราะแม่ตีด้วยความรัก” เมื่อถามต่อว่า แปลว่าจะไม่มีการฟ้องหมิ่นประมาทใดๆ ทั้งสิ้นใช่หรือไม่ แม่ลูกหนึ่งตอบว่า“อันนี้หนูไม่ทราบ เพราะตัวหนูเองไม่ได้อยากจะไปมีเรื่องอะไรกับใคร หนูถึงย้ำนักย้ำหนาตั้งแต่วันแรกที่ออกรายการคุณอาสรยุทธ ว่าปล่อยให้หนูเลี้ยงลูกเถอะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญในชีวิตไม่ใช่ตัวหนูนะ หนูจะตาย จะหิวจะเป็นอะไรไม่สนใจเลย ไม่แคร์ตัวหนูเลย แต่ลูกหนูเนี่ยหิวไม่ได้แล้วน่ะ แล้วหนูก็ไม่ได้มีเงินทองเก็บไว้มากมาย ให้หนูไปทำงานเลี้ยงลูกหนูเถอะ หนูรู้ว่าทุกคนไม่อยากจะปล่อยหนูไป แต่หนูอยากจะวอนขอได้ไหมปล่อยหนูไปทำงานเถอะ ปล่อยให้ออกไปข้างนอกเถอะ อย่าให้หนูติดคุกอยู่ในบ้านอีกเลย หนูรู้เรื่องนี้มันจบไม่ได้ แต่ก็บอกไปแล้วในรายการตีสิบ ว่าเรื่องทุกเรื่องในเมื่อมันแฮปปี้เอ็นดิ้งไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อาจเป็นที่ค้างคาใจของสังคมแต่ว่าเชื่อว่าเวลามันช่วยได้ อย่าเพิ่งมาบีบรัดบีบคั้นอะไรกันตอนนี้เลย จะเอาหนูให้ตายเลยเหรอ”แอนนี่ครวญ

แค่แม่คนหนึ่งปกป้องลูก
ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีใครห้ามไม่ให้ออกจากบ้านนะ แอนนี่กล่าวสวนทันควันว่า“ไม่มีใครห้าม แต่นักข่าวเฝ้าหน้าบ้านทุกวัน แล้วหนูจะออกไปไหนยังไง จะออกไปทำงานก็อยากไป แต่เขาก็ไม่กล้าจ้างเพราะไม่รู้จะยังไง ตอนนี้เพื่อนหนูก็ไม่อยากจะคบหนูแล้ว เพราะมีแต่คนเอาชื่อเพื่อนหนูเข้าไปเกี่ยวข้องว่าเป็นพ่อเป็นโน่นเป็นนี่ เดือดร้อนกันไปหมด บางคนเขาก็มีครอบครัวแล้ว มีแฟน กลายเป็นว่าทุกคนตอนนี้มีปัญหากันไปหมด ขอร้องผ่านรายการเลยนะคะว่าอย่าเอาชื่อของเพื่อนหนูที่อยู่รอบตัวมาพัวพันเลย สงสารครอบครัวเขาเถอะ ทำกับหนูได้แต่อย่าทำกับคนอื่นเลย พอแล้ว”เมื่อถามว่าจะฝากข้อความถึงเฮียฮ้อ พี่พจน์ อานนท์ หรือใครที่ออกมาคุยเรื่องของเราหรือไม่“หนูขอโทษทุกคน ถึงแม้คำขอโทษของหนูอาจจะฟังดูผ่านหูไปเหมือนเป็นลมก็ตาม แต่อยากขอโทษทุกคนจริงๆ ที่เรื่องมันลุกลามใหญ่โต แต่หนูมีจุดยืนของหนูอย่างนี้ เป็นแค่แม่คนหนึ่งที่อยากจะปกป้องลูกตัวเองเท่านั้น ไม่มีเจตนาจะทำร้ายใครทั้งนั้น ปล่อยหนูไปเถอะให้หนูได้หายใจบ้าง ให้มีที่ยืนในสังคมบ้าง ตอนนี้ไม่มีที่จะแทรกอยู่แล้ว”

พูดหลายครั้งไม่ตรวจดีเอ็นเอ
เมื่อถามว่ายังยืนยันหรือไม่ว่าจะไม่ตรวจดีเอ็นเอ แอนนี่กล่าวว่า“พูดไปแล้วที่ไม่ตรวจเพราะอะไร บางคนบอกว่าเราไม่กล้า พูดหลายครั้งว่าไม่ต้องการอะไรจากใครแล้วจะมาตรวจทำไม ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ก็ได้ ทุกอย่างเวลามันจะบอกเอง ดีเอ็นเอมันอยู่บนหน้าลูกแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องการอะไร หรือความรับผิดชอบจากฝ่ายไหนทั้งสิ้น ขอหนูรับผิดชอบตัวหนูกับลูกเอง ให้ไปทำงาน ให้หนูได้พาลูกหนูไปเที่ยวบ้าง ลูกน่ะไม่ได้ไปเรียกร้องหรอกเพราะเขายังพูดไม่ได้ แต่หนูเรียกร้องให้ลูกเอง พูดแทนลูก หนูพูดเองว่าขอเราออกไปบ้าง ตอนนี้หนูเข้มแข็งพอแล้ว จะว่าหนูเป็นคนฝังใจก็ได้ ผู้หญิงทุกคนมันเจ็บแล้วจำ ลืมไม่ลงจริงๆ ฉะนั้นถึงยอมเป็นคนหัวแข็งยืนกรานก็ได้ถ้าเกิดจะว่าอย่างนั้น มันเลยกลายเป็นสิ่งค้างคาใจในสังคมตอนนี้ หนูต้องขอโทษจริงๆ”

หวั่นผลข้างเคียงก.ม.มีเยอะ
ต่อข้อถามที่บอกว่าถ้าตรวจดีเอ็นเอออกมา อาจเป็นฟิล์มหรือไม่ใช่ก็ได้ ตีความได้ว่าเพราะเราไม่มั่นใจหรือเปล่า แอนนี่กล่าวว่า“ถึงพูดไงคะว่าคนคิดไปต่างๆ นานา ได้ แก้วใบเดียวยังมองไม่เหมือนกันเลยว่าตรง หรือทรงกลม ฉะนั้นไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ไม่สามารถทำให้ทุกคนมีความสุขแฮปปี้ได้ แม้แต่ตัวหนูเองยังไม่สามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้เลย ฉะนั้นเมื่อตัดสินใจแล้ว หนูไม่ต้องการความรับผิดชอบจากใคร ถ้าเกิดตรวจไปเพื่ออะไร เพื่อความสะใจของใครบางคน แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาทางกฎหมายมันมีเยอะมากที่ไม่มีใครออกมาพูด แต่จะให้หนูมานั่งพูดเรื่องกฎหมาย หนูก็ไม่ใช่นักกฎหมายเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเหมือนกัน รู้งูๆ ปลาๆ มีคนแนะนำมาบ้าง ถึงได้มั่นใจว่าอย่าเลย ผลข้างเคียงก็มี ไม่ใช่แค่ความสะใจว่าใช่ไม่ใช่ ถ้าทุกคนคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ก็ได้ งั้นปล่อยให้หนูไปทำงานเลี้ยงลูกหนูเถอะ” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เฮียฮ้อมั่นใจเรื่องที่ออกมาพูดมาก ฉะนั้นกังวลว่าเขาจะมีหลักฐานออกมาไหม ดาราสาวกล่าวว่า“ถ้าเป็นเรื่องเงินหนูมั่นใจมาก เพราะเงินหนูเก็บไว้เท่าไหร่ มีคนโอนให้เท่าไหร่มีกี่บัญชี หนูมีอยู่แล้ว แต่มันไม่จำเป็นต้องงัดออกมา แต่ถ้าเรื่องถึงขนาดต้องขึ้นโรงขึ้นศาลต้องเอาหลักฐานค่อยเอาออกมาแล้วกัน เพราะตอนนี้ไม่มีความจำเป็น แต่หนูมั่นใจว่าเงินหนูมันลดลงทุกวัน ถ้ามีเงินเข้ามาคนละสองแสนห้าเนี่ย ป่านนี้หนูรวยไม่ต้องมาขอร้องว่าให้ออกไปทำงานเถอะ คงอยู่ได้อีกหลายเดือนค่ะ”

รับไม่เวอร์จิ้นแต่คบทีละคน
“สำหรับประเด็นแฟนเมื่อคืนที่พูดในตีสีบ ว่า 4 – 5 ปีมานี้ไม่เคยบอกว่าไม่มีแฟน บอกว่า 4-5 ปี มานี้ไม่เคยทำอะไรเสียหาย ไม่เคยไปเจ้าชู้ทำอะไรไม่ดีให้ใครเดือนร้อน แต่ถามว่า 4- 5 ปีมานี้มีแฟนไหม หนูคบใครคบจริง รักนาน คบเป็นคนๆ อายุ 30 แล้ว ไม่ใช่ผู้หญิงเวอร์จิ้น ไม่ใช่ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์มาตีหน้าซื่อ มันไม่ใช่ จะเข้าวัยกลางคนแล้ว เคยมีแฟนมาก่อน ก่อนหน้าเขาก็เคยมี แต่ว่าเลิกกันไปแล้ว ผู้หญิงกว่าจะเลิกกับใครได้ต้องทำใจ ไม่ใช่เลิกแล้วมีใหม่เลย พอทำใจได้เจอคนใหม่ที่หนูคิดว่าคบไปแล้วรู้สึกรัก รู้สึกใช่ ก็คบเป็นแฟน คบทีละคน ไม่ใช่บอกว่า 4-5 ปีไม่มีใครเลย พี่เขาก็ถามว่า 2 – 3 ปีที่ผ่านมาคบแต่ฟิล์มคนเดียวใช่ไหม ประเด็นคิดว่าเขาต้องการจะแย้งว่าช่วงเวลาที่คบกับคนนี้ หนูคบกับคนอื่นอีกหรือเปล่า หนูว่าให้มองประเด็นนี้ดีกว่า อย่าไปพยายามปั่นประเด็นให้เป็นเรื่องใหญ่โต มันจะผิดไปกันใหญ่”แอนนี่ บรู๊ค กล่าวตอนท้าย

“สมรักษ์”ร่ายยาวที่มาที่ไป
ต่อมาเวลา 13.30 น.ที่อาคารมาลีนนท์ ถนนพระรามที่ 4 นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการไทยทีวีสีช่อง 3 แถลงข่าวหลังถูกเฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) พาดพิงเรื่องมีผู้ใหญ่ทางช่อง 3 เปิดเผยเรื่อง”จุ๊น-กิตติคุณ”ว่า ในแง่การให้สัมภาษณ์ โดยเฉพาะการพูดในที่สาธารณะอาจทำให้เกิดการเสื่อมเสีย อาจจะมีการฟ้องร้อง เพราะฉะนั้นการให้สัมภาษณ์หรือตอบคำถามคงจะต้องระมัดระวัง “ผมมองว่ามันเหมือนเป็นศึกสงครามระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ความจริงมองว่าถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์เพศหญิงเพศชาย ก็จะมองไปอีกแง่มุมหนึ่ง แต่ตอนนี้ประเด็นมันไปเรื่องอื่นเยอะแล้ว มันไม่ใช่ประเด็นแค่คนสองคน มันกลายเป็นประเด็นอย่างน้อยผู้ใหญ่สองคนคือทางเฮียฮ้อกับผมออกมารับรู้ แล้วก็ต้องออกมาพูด ซึ่งบางครั้งมันพาดพิงไปถึงใคร สื่อก็จะต้องตามไปถามอีก เพราะฉะนั้นวงก็จะกว้างขึ้นๆ”

ยันคุยกับ”เฮียฮ้อ”เรื่องจุ๊นจริง
“ผมไม่แน่ใจว่าจากวันนี้ ตัวการเสนอเรื่องราวนี้มันจะแคบลงได้ไหม แล้วเจตนารมณ์ของคู่กรณี เขาก็บอกอยู่แล้วว่าอยากอยู่อย่างสงบ เพราะไม่อยากมีอะไร นี่คือปกติของการทำมาหากินนะ อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ จริงๆ แล้วผมอยากให้สื่อช่วยสะท้อนปัญหานี้ ทำให้สังคมดีขึ้น ตอนนี้ไม่อยากให้เสนอข้อความเอามัน ทุกคนก็สนุกสนานกันใหญ่เลย สุดท้ายที่ผมเห็นก็คือ มีคนเจ็บปวดมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่จริงก็ไม่คิดว่าเราจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ที่จะพูดเป็นกรณีที่เฮียฮ้อพาดพิงมาถึงผม ในแง่ว่าเราได้มีการพูดคุยกับเฮียฮ้อไหม ก็จริงครับได้มีการพูดคุยกัน ในของเรื่องจุ๊นนะ ส่วนรายละเอียดคงไม่ไปพูดซ้ำตรงนั้น เพราะว่าเราพูดคุยกันในแง่ของผู้ใหญ่คนหนึ่ง คือตอนนี้สื่อออกไป ผมก็เห็นใจเฮียฮ้อมาก เพราะถูกมองว่ารังแกเด็ก รักษาผลประโยชน์ หรืออะไรก็แล้ว แต่ตอนนี้มันเป็นกระแสไปในอีกมุมหนึ่งแล้ว”นายสมรักษ์ เผย

เชื่อบอสอาร์เอสใช้เหตุผลตัดสิน
ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการไทยทีวีสีช่อง 3 กล่าวต่อว่า “จริงๆ หากเฮียฮ้อจะตัดสินใครสักคนหนึ่ง เฮียฮ้อก็คงต้องหาข้อมูล คงไม่ได้สั่งงาน หรือกำหนดงานโดยใช้อารมณ์ เขาคงต้องหาข้อมูล หาเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ ส่วนเราเองก็เป็นผู้ใหญ่ จริงๆ เราเจอดารามาค่อนข้างเยอะ ดารากับสื่อ ผมบอกตลอดเวลาว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เราควรพูดความจริง ความจริงมันจะทำให้เขาอยู่ในสังคมนี้ได้ และทำงานต่อไปได้โดยไม่ต้องหวาดระแวง เพราะว่าหากเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ก็รู้สึกว่ามันเป็นทั้งเรื่องที่พูดจริงและไม่จริง และก็เรื่องที่พูดจริงบางอันหมายถึงว่ามันไม่เคลียร์ มันก็มีเรื่องกำกวม เป็นเรื่องยากที่ใครจะมาพูดได้ทั้งหมด วันนี้ ผมไม่รู้ว่าทางสื่อกับข่าวเรื่องนี้มันจะจบตรงไหน จริงๆ แล้วสิ่งที่อยากเห็นมากที่สุด น่าจะจบที่ต่างคนต่างหยุด และก็ทำงานโดยที่ไม่มีใครพูด โต้ตอบโต้กันไปมาอีกแล้ว ก็คิดว่าสังคมเองก็คงเห็นข่าวเรื่องนี้มาค่อนข้างเยอะแล้ว”

วอนทุกคนพูดความจริง
“ในส่วนผู้เกี่ยวข้อง ผมอยากจะบอกว่า คนเราทำผิดได้ และยอมรับผิด เอาความผิดของตัวเองมาเป็นบทเรียน บทเรียนมันจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเรายังไม่ยอมรับผิด เราก็จะทำผิดต่อไป แล้วเราจะไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องผิด อยากจะบอกผู้เกี่ยวข้องว่า ออกมาเถอะ ออกมาพูดความจริง ผู้ใหญ่ต่างๆ จะได้ไม่เดือดร้อน จะได้ไม่มีใครถูกพาดพิง แล้วก็ถูกกล่าวอ้าง มันจะได้จบและชีวิตก็จะได้มีการเปลี่ยนแปลงทำอะไรให้ดีขึ้น ทำมาหากินประกอบอาชีพสุจริตกันต่อไป”นายสมรักษ์ ย้ำ

อ้ำอึ้งติดต่อ”จุ๊น”ไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแล้วเรื่องจุ๊น-กิตติคุณ เป็นยังไง นายสมรักษ์กล่าวว่า“ในแง่ของข้อมูลที่เราได้รับก็เหมือนกับที่เฮียฮ้อให้ข้อมูลไป วันศุกร์ที่ผ่านมาได้ทราบข่าวว่ามีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แล้วพอวันจันทร์ก็ได้ทราบข้อมูล” เมื่อถามว่าทราบข้อมูลว่าอย่างไร นายสมรักษ์กล่าวว่า“ก็ข้อมูลอย่างที่เฮียพูดไปนะครับตรงนั้น” เมื่อถามต่อไปว่าแต่จากข่าวที่ออกไปทางจุ๊นปฏิเสธ นายสมรักษ์กล่าวว่า“คือมันก็ต้องมีเรื่องมิสคอลอะไรต่างๆ ที่ได้ติดต่อกัน และตอนหลังก็เริ่มติดต่อจุ๊นไม่ได้ ผมยังบอกเหมือนกันว่าเรื่องนี้มันมีคนอยู่เบื้องหลังเยอะมาก ก็เลยไม่อยากให้คนพวกนี้ลุกขึ้นทำอะไรอีกแล้ว เพราะว่าตอนนี้คนก็คุยกับใครต่อใครเยอะไปหมด เหมือนว่าเฮียฮ้อเป็นคนผิดไปเลยนะ ถามว่าพี่ได้สื่อสารกับจุ๊นรึเปล่า ก็ไม่ได้ติดต่อเลยเพราะว่าโทรฯ ไปก็มิสคอล แล้วก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย กระทั่งไปเห็นข่าวจุ๊นในทีวีนะครับ”

ย้ำ”จุ๊น”บอกโอนเงินให้จริง
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่จุ๊นออกมาพูดแบบนั้น ทางช่อง 3 ได้คุยกับจุ๊นก่อนหรือเปล่า เรื่องว่าเขามีความสัมพันธ์กับแอนนี่ นายสมรักษ์กล่าวว่า“มีการสื่อสารข้อมูลกันในระดับหนึ่ง แต่เรารู้สึกว่าถ้ามันเกิดอะไรขึ้นน่าจะพูดความจริงต่อสังคม แต่ตอนหลังๆ ที่ติดต่อกันอีกครั้ง จะพูดคุยถามไถ่กันให้ชัดเจนก็ติดต่อกันไม่ได้ ให้ฝากข้อความบ้าง ไม่ได้เจอกันบ้าง”เมื่อถามว่าได้พูดกับเฮียฮ้อจริงหรือไม่ นายสมรักษ์กล่าวว่าต้องพูดว่าได้พูดกับเฮียฮ้อจริง” เมื่อถามย้ำว่าสรุปว่าจุ๊นยืนยันเลยใช่ไหมว่ามีความสัมพันธ์ และมีการโอนเงินจริง นายสมรักษ์กล่าวว่า”ก็ทำนองนี้แล้วกัน จริงๆ พี่ก็คิดว่ามันจะจบตรงไหนนะครับ คือตอนนี้มันเริ่มไปเรื่องอื่นแล้ว มันไม่ใช่เคสที่เกิดขึ้นว่าทำยังไงการเสนอข่าว หรือข่าวมันจะมาอยู่ที่จุดเดิม และก็อยากให้แอนนี่ออกมาพูดนะครับว่า จะใช้ชีวิตทำงาน และต้องการความสงบแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขาไม่มีอากาศหายใจ ไม่มีที่ยืนแล้ว เขาอยากให้มีใครเข้าใจเขานะครับ” เมื่อถามว่ามีหลักฐานอะไรให้รู้สึกมั่นใจว่าจุ๊นมีความสัมพันธ์กับแอนนี่ นายสมรักษ์กล่าวว่า“คงไม่มีหลักฐานว่าเราเชื่อตรงนั้น แต่ว่าได้พูดคุยกัน”

“จุ๊น”แถลงบ๊ายบายช่อง3
จากนั้นเวลา 17.00 น.ที่คลิสตัล ดีไซด์ ร้านกาแฟคอฟฟี่แกลลอลี่ จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข เดินทางมาพร้อมทนายความ เปิดแถลงข่าวถึงเรื่องร้อนๆ ที่เกิดขึ้น จุ๊นกล่าวว่า”เรื่องนี้ที่พารากอน ได้บอกไปหมดแล้ว ว่าปัญหาจริงๆ เป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แต่ตอนนี่มีบุคคลที่สามเข้ามานั่นคือจุ๊น เหมือนตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งใจจริงไม่อยากรับรู้เรื่องราวอะไร อยากอยู่นิ่งๆ แต่วันนี้จะมาบอกเรื่องขอลาออกจากช่อง 3 ว่าเป็นความจริง ตอนแรกคิดว่าเรื่องไม่น่าจะแรงขนาดนี้ แต่นับวันยิ่งแรงขึ้น และกระทบต่อครอบครัวจุ๊น ที่สำคัญต้องขอขอบคุณนายประวิทย์ และพี่ๆ ที่ช่อง 3 ที่ให้การดูแลจุ๊นอย่างดี จุ๊นยังรักช่อง 3 เหมือนเดิม แต่ตอนนี้ไม่อยากเป็นเครื่องมือของใคร เรื่องตรวจดีเอ็นเอ ตรวจได้ จุ๊นยินดี แต่ในเมื่อบอกไปแล้วว่าไม่มีความสัมพันธ์จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจอะไร เพราะตอนนี้คนที่น่าเห็นใจที่สุดคือฝ่ายผู้หญิงกับลูก จุ๊นเป็นผู้ชายไม่มีทางจะเสียอะไรอยู่แล้ว ก็อยากให้เรื่องนี้จบด้วยดี อยากให้ข่าวเงียบไป ให้ทั้งสองฝ่ายจบไปด้วยดี และครั้งนี้ถือเป็นการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายของจุ๊นแล้ว ขอให้ข่าวจบลงเถอะ ไม่อยากเป็นเครื่องมือใครจริงๆ”

ยันเงิน10ล้านซื้อไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้คำพูดสวนทางกับผู้ใหญ่ คิดว่าจะแตกหักกับช่อง 3 หรือไม่ จุ๊น กล่าวว่าตนไม่คิดว่าจะแตกหักกับช่อง 3 นะ ตนไปขอบคุณนายประวิทย์ พี่ๆ ทุกคน แต่ที่ออกมาเพราะตัดสินใจแล้วว่า มันมีผลกระทบกับครอบครัวจริงๆ“เมื่อถามว่า แสดงว่า คุณสมรักษ์โกหกใช่หรือไม่ จุ๊น ตอบว่า”ไม่นะครับ จุ๊นไม่ขอพาดพิงถึงใคร” เมื่อถามว่า แล้วที่คุยทางโทรศัพท์ เป็นยังไง จุ๊นกล่าวว่าตอนนี้ขอเก็บไว้เป็นข้อมูล ไม่อยากเข้าไปมีส่วนที่จะฟ้องใคร อย่างที่บอกว่าอยากอยู่เงียบๆ แต่ถ้าหากมีใครมาพูดพาดพิงถึงอีก ก็คงต้องดำเนินการตามสิทธิของจุ๊น ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องข่าวมีคนเสนอเงิน 10 ล้านบาท เพื่อให้จุ๊นออกมารับเป็นพ่อของลูกแอนนี่ จุ๊น กล่าวว่าไม่มีการยื่นเงิน และไม่ได้รับโทรศัพท์เรื่องเงินอะไรทั้งสิ้น แต่ได้ยินแค่ข่าวลือมา ครอบครัวของตนไม่จำเป็นต้องไปเอาเงินใคร พ่อแม่เลี้ยงตนมาด้วยเงินของท่าน แล้วก็ไม่มีทางซื้อคนอย่างตนได้

แนะทำตามวัฒนธรรม
ส่วนความคิดเห็นของสังคมต่อกรณีดังกล่าว เริ่มจากนายนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รมว.วัฒนธรรม(วธ.) กล่าวแนะนำทางออกกรณีฟิล์ม-แอนนี่ ว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายให้ความเคารพ ต้องตั้งสติและเป็นหลักในการช่วยกันแก้ปัญหา เจรจาด้วยเหตุผล อย่าไปซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น แต่จากการติดตามเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่เป็นหลักในการแก้ปัญหา กลายเป็นเข้าไปขุดคุ้ยเบื้องหน้าเบื้องหลังให้บานปลายมากขึ้น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะมีการมองว่าดาราคือธุรกิจตัวสินค้า ทำให้มีบุคคลไม่เกี่ยวข้องเข้ามาจำนวนมากมาย ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น ขณะที่สื่อมวลชนเองก็ให้ความสนใจมาก แต่ไม่มีแนวทางช่วยแก้ปัญหา ไปถามคนนั้นที คนนี้ที แล้วมาขยายผลให้ลุกลาม”สังคมทุกวันนี้มักมองคนในด้านลบและจุดอ่อนคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วคนทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านลบ จึงอยากให้มองด้านดีของคน ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว ในมิติด้านวัฒนธรรม คือต้องมีความศรัทธาในวัฒนธรรมไทย คำสอน ความเชื่อ การประพฤติปฏิบัติของคนในสมัยก่อน ที่เป็นตัวอย่างได้ดี

ผิดหวังคำสัมภาษณ์เฮียฮ้อ
นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์กรณีฟิล์มและแอนนี่ ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น แม้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่มีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของเฮียอ้อแล้วรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เพราะเฮียอ้อไม่ใช่คู่กรณี จึงไม่ควรนำเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นมาเปิดเผย ทำให้ฝ่ายหญิงเสียหายมาก อยากถามว่าเป็นการไปซ้ำเติมปัญหาให้มากขึ้นหรือไม่ แล้วยังไปลากใครต่อใครออกมาอีก อย่าง”จุ๊น”ดาราอีกคนที่ถูกพาดพิงก็ออกมาปฏิเสธ แต่คนที่เสียหายไปแล้วคือผู้หญิง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแอนนี่เหมือนถูกรุมกระหน่ำทั้งที่ประสบปัญหาชีวิตมากพอแล้ว จึงไม่อยากให้คนภายนอกไปซ้ำเติมอีก เด็กที่เกิดมาไม่ว่าใครทำให้เกิด ควรต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้ผู้หญิงต้องต่อสู้กับปัญหาเพียงลำพัง โดยเฉพาะการให้ข่าวในเชิงว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่ดี รวมถึงนายพจน์ อานนท์ ก็เช่นกัน อยากฝากว่าอย่าออกมาซ้ำเติม เพราะไม่ใช่คู่กรณีเช่นกัน

พม.ขอเป็นตัวกลางแก้ปัญหา
นายอิสสระ กล่าวด้วยว่า เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ตนพยามยามติดต่อแอนนี่ เพื่อจะไปให้กำลังใจ และให้นักสังคมสงเคราะห์เข้าไปช่วยเหลือให้คำปรึกษา แต่ยังติดต่อไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้นักสังเคราะห์สงเคราะห์ ที่ จ.ลำปาง เข้าไปช่วยเหลือดูแลแม่ของแอนนี่ อย่างไรก็ตาม ตนอยากเสนอตัวเป็นตัวกลางในการคลี่คลายปัญหาฟิล์มกับแอนนี่ เพราะไม่อยากให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น ทางออกเรื่องนี้คิดว่าเด็กต้องมีพ่อ ซึ่งจริงๆ เด็กก็มีพ่อ แต่ต้องรู้ว่าเป็นใคร ซึ่งก็ต้องเห็นใจแอนนี่ที่ถูกบังคับให้พิสูจน์ดีเอ็นเอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนท้องก็ให้พิสูจน์แต่อีกฝ่ายไม่อยากพิสูจน์ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ สิ่งที่ตนอยากบอกคือ 1.อยากพบและพูดคุยกับแอนนี่ 2.ไม่อยากให้เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของชัยชนะ ไม่อยากให้ฝ่ายชายพยายามเอาชนะด้วยการทำให้ฝ่ายหญิงเสียหายว่าไปนอนกับผู้ชายกี่คน 3.บริษัทอาร์เอสฯ ควรจะหยุดคุยขุ้ยมากไปกว่านี้ และ4.ถ้าไม่มีทางออก สังคมต้องให้โอกาสเด็กทั้ง 2 คนด้วย

“เจ๊เบียบ”ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ด้านนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข ให้สัมภาษณ์ถึงคำพูดของเฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์ เจ้าของบริษัทอาร์เอสฯ ว่า ไม่ได้ฟังด้วยตัวเอง แต่เท่าที่ทราบ พอได้ฟังแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีการแถลงข่าวออกมาในลักษณะนี้ออกมาจากปากของผู้ใหญ่คนหนึ่ง ฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าหมอง และเสียใจ เมื่อมันเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็น่าจะทางใครทางมัน แต่มาทำให้อีกฝ่ายหนึ่งถูกกระหน่ำซ้ำเติมด้วยความรุนแรงทางคำพูด ทำให้ตนรู้สึกเศร้า ตนคิดว่าทุกอย่างมันควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เขาได้เดินทางไปตามชีวิตของเขาเอง ก็ทางใครทางมัน และอยากจะขอความเมตตาให้กับเด็กด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก นายสุรชัย คงอยากจะออกมาปกป้องฟิล์ม ก็ไม่เป็นไร ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง แต่อยากจะขอให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ทุกฝ่ายยุติเรื่องราวกันได้แล้ว

ยันทำหน้าที่ปกป้องลูกผู้หญิง
เมื่อถามว่า แอนนี่ควรจะตรวจดีเอ็นเอหรือไม่ นางระเบียบรัตน์กล่าวว่า มองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา คู่กรณีจะรู้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นบุคคลที่ 3 หรือสื่อมวลชนพอกับการที่จะไปคุ้ยเรื่องส่วนตัวของเขา ขอความเมตตาให้กับเด็ก และแอนนี่ด้วยพอได้แล้ว ส่วนกรณีทวิตเตอร์ของนายสุรชัย โพสต์ว่าใครไม่มีข้อมูล ไม่ควรแสดงความเห็นนั้น ตนออกมาพูดเพราะทำหน้าที่ในเรื่องการปกป้องลูกผู้หญิงและสังคม เราไม่ได้ไปลงรายละเอียดเลยว่า แอนนี่ไปอยู่กับใคร ส่วนที่ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ตนนั้น ตนออกมาพูดในฐานะของนายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวฯ ตนไม่ได้วิ่งไปหาสื่อเพื่ออยากจะพูดให้ตัวเองเป็นข่าว แต่สื่อต่างหากที่มาขอสัมภาษณ์ แต่ถึงใครจะพูดยังไงตนก็ไม่แคร์ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราทำงาน เรามีหลักการของเรา ไม่ว่าจะเกิดกรณีนี้ขึ้นกับใครตนก็จะพูดอย่างนี้ ไม่ได้มีอคติกับฟิล์มหรือกับใคร ไม่ได้อยากจะไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน หรือต้องการโหนกระแสความดังจากฟิล์ม ตนปกป้องให้เยาวชนและสังคม ปลูกฝังทัศนคติ สร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กรู้จักรักนวลสงวนตัว เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาอีก

พร้อมยินดีช่วยเหลือทุกฝ่าย
“พี่เป็นนายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข ถ้าวันใดแอนนี่มีความประสงค์อยากจะให้เราช่วยเหลือ ก็ยินดี เพราะเรามีเจ้าหน้าที่ ทีมงาน ทนายความพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือ ถ้าหากว่าแอนนี่ต้องการจะเรียกร้องสิทธิความยุติธรรมให้กับตัวเอง ไม่ใช่เฉพาะแอนนี่ ฟิล์มเองก็มาติดต่อมาหาเราได้เช่นกัน เราช่วยทุกคนไม่ใช่เฉพาะกับผู้หญิง แอนนี่เองเข้มแข็งแล้ว ก็ขอให้เขาเข้มแข็งอย่างนี้ต่อไป ขอให้เขาเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด หวังว่าจะมีผู้สนับสนุนให้แอนนี่ได้มีช่องทางในการทำมาหากินต่อไป เพื่อที่จะได้มีเงินไว้เลี้ยงลูก”นางระเบียบรัตน์กล่าวตอนท้าย

เป็นห่วงเด็กถูกละเมิดสิทธิ
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) นางวิสา เบ็ญจมะโน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิเด็ก สิทธิสตรี และสิทธิความเสมอภาค กล่าวถึงกรณีการโต้แย้งทางสังคมระหว่างฟิล์ม-รัฐภูมิ กับแอนนี่ บรู๊ค ว่า กสม.ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านสิทธิเด็กเข้าไปดูแลและให้คำแนะนำกับน.ส.แอนนี่ เพราะรู้สึกเป็นห่วงเรื่องสิทธิเด็กที่ถูกนำมาเป็นตัวแสดง เนื่องจากเด็กไม่ได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะตามสิทธิแล้ว เด็กจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองในเกียรติยศ และชื่อเสียง รวมถึงเด็กมีสิทธิที่จะได้รับรู้ว่าใครเป็นบิดามารดา นอกจากนี้การที่มีบุคคลออกมาให้ความเห็นว่ามารดาของเด็กคบหาผู้ชายหลายคนนั้นเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และตอกย้ำความสงสัยจากสังคมว่าเด็กเป็นบุตรของใคร ซึ่งหากฝ่ายหญิงได้รับความเสียหาย ก็ไปปรึกษาทนายความเพื่อฟ้องร้องดำเนินการทางคดีได้ ทั้งนี้ทัศนคติความเสมอภาคทางเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และไม่ควรนำมาเป็นข้อถกแถลงของสังคม จนกลายตราบาปของฝ่ายหญิงเพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งสื่อปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการจัดเก็บและเผยแพร่ ในอนาคตเด็กอาจถูกสังคมล้อเลียน ดังนั้นสื่อมวลชนควรจะช่วยกันระมัดระวังการนำเสนอภาพของเด็กด้วย

วอนทุกฝ่ายหยุดไม่ให้เด็กบอบช้ำ
“ทางกสม.ขอเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะหยุดเรื่องนี้ไว้ เพื่อไม่ให้เด็กบอบช้ำ เพราะกรณีนี้เป็นข้อพิพาทของคน 2 คน ที่ต้องไปพิสูจน์ในเชิงกฎหมาย โดยะเฉพาะฟิล์มเป็นบุคคลสาธารณะ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม ดิฉันรู้สึกเป็นห่วงเรื่องความสัมพันธ์ของชายหญิง โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และยังไม่มีความพร้อมจะเลี้ยงดูบุตร ทำให้เด็กที่เกิดมาไม่ได้รับการเลี้ยงดู และการปกป้องคุ้มครองตามมาตรฐานที่ควรจะได้รับ อย่างไรก็ตามกสม.จะจัดเวทีเสวนาเรื่องของสื่อ และการคุกคามสิทธิเด็ก โดยจะเน้นไปในเรื่องการปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็กในเร็วๆ นี้”นางวิสา กล่าว

ตรวจดีเอ็นเออำนาจฝ่ายหญิง
เมื่อถามว่า กสม.จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง นางวิสา กล่าวว่า กสม.จะช่วยส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และสิทธิเด็ก เพื่อปกป้องคุ้มครองให้เด็กได้รับผลประโยชน์สูงสุด เมื่อถามอีกว่า สิทธิของเด็กที่ควรจะได้รับรู้ว่าใครคือบิดามารดานั้น ต้องมีการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอหรือไม่ นางวิสากล่าวว่า ขณะนี้สิทธิในการดูแลและปกป้องเด็กอยู่ที่มารดา เพราะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นบิดาของเด็กไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตร จึงเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นการตัดสินใจใดๆ เกี่ยวกับบุตรจึงเป็นอำนาจของฝ่ายหญิง ดังนั้นหากฝ่ายชายจะตรวจดีเอ็นเอ ต้องไปขออำนาจศาลเพื่อยืนยันว่าเป็นลูกของตนจริงหรือไม่

“ครูหยุย”แนะสื่อเลิกทำข่าวนี้
นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ จะดีหรือไม่ดีไม่มีใครรับรู้พฤติกรรมได้ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นคนที่เที่ยวออกไปพูดเรื่องราวของคนอื่นโดยไม่รู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงในขณะนี้ถือว่าเป็นบาปกรรมเปล่าๆ มิหนำซ้ำกรณีมีเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ซึ่งนอกจากจะแย่เพราะไม่รู้ว่าเป็นลูกใครกันแน่แล้ว ยังต้องไปปรากฏตัวออกตามสื่อต่างๆ ซึ่งสื่อจะโดยเจตนาหรือไม่ก็เป็นการทำร้ายเด็กให้เสียหายกันไปใหญ่ ดังนั้นการปรากกฎเป็นข่าวใหญ่โตเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็กอย่างรุนแรง“ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของคนสอง แต่ทำไมต้องเอาเด็กไปเกี่ยวข้องด้วย ผมคิดว่าสื่อมวลชนจะต้องเลิกทำข่าวในลักษณะนี้ได้แล้ว ถามว่าสังคมได้อะไร เพราะเหมือนกับการแสดงละคร ข่าวก็จะเลยเถิดไปเรื่อยๆ แต่จะมีคนบางส่วนที่ได้ประโยชน์ ขอให้หยุดได้แล้ว โดยเฉพาะคู่กรณีจะต้องหยุดเพราะถือว่าคุณได้เป็นเหยื่อ มีเด็กเป็นตัวกลาง พาดพิงกันไปมามั่วซั่วหมด” ครูหยุย

อัด”เฮียฮ้อ”สังคมจะเชื่อหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ หรือ “เฮียฮ้อ”ออกมาแฉพฤติกรรมฉาวของแอนนี่ บรู๊ค นายวัลลภ กล่าวว่า หลักการเราไม่รู้ว่าใครอยู่กับใคร แต่คนที่เที่ยวไปพูดเช่นนั้นเชื่อว่าสังคมได้คิดตามว่าจะฟังหรือเชื่อได้หรือเปล่า จะเสียความชอบธรรม หรือไม่เหมาะสม ซึ่งตามกฎหมายการพูดทำให้คนอื่นเสียหายเช่นนี้ สามารถฟ้องร้องกันได้ ดังนั้นจะต้องกลั่นกรองด้วย เมื่อถามว่าแอนนี่ บรู๊ค ปฏิเสธการตรวจดีเอ็นเอ เรื่องจะยุติได้อย่างไร นายวัลลภ กล่าวว่า เชื่อว่าเรื่องจะต้องหยุด เพราะขณะนี้องค์กรสตรีออกมาปกป้องให้คำแนะนำ รวมทั้งมีกระบวนการทางศาลที่จะพิจารณา และคิดว่าหากมีคนกลางที่ทั้ง 2 ฝ่ายเชื่อถือก็จะตรวจสอบกันได้ เรื่องไม่ยืดเยื้อแน่นอน

แนะดาราต้องมีศีลธรรมด้วย
ที่รัฐสภา นางยุวดี นิ่มสมบุญ ส.ว.สรรหา ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา กล่าวถึงปัญหาความคลุมเครือว่าใครเป็นพ่อของลูกแอนนี่ บรู๊ค กันแน่ ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งฝ่ายหญิงคือแอนนี่ และฝ่ายชายคือฟิล์ม รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เชื่อว่าเขาจะตกลงกันได้เพื่อผลประโยชน์ของเด็ก ขณะนี้กลายเป็นว่าเด็กต้องมากลายเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องต่อรองจากความขัดแย้งนี้ โดยมีบริษัทอาร์เอสฯ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ตนอยากให้คำนึงถึงเด็กให้มาก ถึงทั้งคู่จะเป็นบุคคลสาธารณะแต่การจะทำให้สังคมเกิดการยอมรับได้ ไม่ใช่แค่เรื่องความสามารถทางการแสดงเท่านั้น แต่ผู้ที่จะเป็นศิลปินดารา หรือนักร้องที่เป็นที่นิยมของประชาชน ต้องรักษาศีลธรรมการประพฤติที่ดีด้วย

ให้เวลาทั้งคู่ตั้งสติคิด
เมื่อถามว่าการออกมาแถลงข่าวของนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่และบริหารบริษัท อาร์เอสฯ ถูกวิจารณ์หนักจากกลุ่มสิทธิสตรี ว่ามุ่งรักษาผลประโยชน์บริษัทฯ จนเหยียดหยามเพศแม่ นางยุวดีกล่าวว่า ผู้ใหญ่ก็ควรให้เวลาทั้งคู่ไปจัดการชีวิตส่วนตัวของเขาเอง ให้เขาได้ตั้งสติคิดและทำในสิ่งที่ถูกต้อง การที่เขาจะอยู่ร่วมกัน หรือเขาจะมีลูกกันก่อนไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่ขั้นตอนมันกระโดดไปหน่อย เรื่องนี้จะจบลงด้วยดีได้คือทุกฝ่ายต้องคิดถึงเด็กมากกว่าผลประโยชน์ของตัว ขณะที่ผู้ใหญ่เองก็ควรให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ฝ่ายชายก็คงกลัวจะเสียอาชีพ แต่ตนอยากให้นึกถึงว่าถ้าเขาเป็นเด็กคนนี้ เขาจะคิดอย่างไร บาดแผลที่เกิดขึ้นวันนี้จะฝังลึกไปที่ตัวเด็กหรือไม่ อย่าทำอะไรที่เป็นการเพิ่มปัญหาให้กับสังคม

ห่วงเยาวชนไทยต้นแบบไม่ดี
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า บริษัทอาร์เอสฯ ควรมีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือซีเอสอาร์ ซึ่งต่างประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เน้นแต่จะรักษาภาพลักษณ์บริษัท หรือศิลปินตัวเอง จนถึงกับออกมาพูดว่าผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน ทำให้สังคมมองว่าเป็นคนไม่ดี สร้างความรุนแรงต่อจิตใจผู้หญิงมาก สังคมควรเห็นอกเห็นใจแอนนี่ให้มากๆ อาร์เอสเป็นบริษัทบันเทิงสื่อสาร เป็นงานที่มีดารานักร้องต้นแบบเยอะ น่าห่วงเยาวชนไทยมีต้นแบบแล้วเลียนแบบอย่างนี้ ยิ่งผู้ชายมีต้นแบบไม่ดีเยอะอยู่แล้ว เห็นดารานักร้องเป็นอย่างนี้จะมองอย่างไร ดังนั้นอาร์เอสต้องแสดงออกให้ดีกว่านี้ ต้องตั้งคำถามว่าทำแบบนี้สังคมจะรู้สึกอย่างไร เมื่อถามว่าแอนนี่ควรจะฟ้องร้องปกป้องศักดิ์ศรีตัวเองจากการถูกกล่าวหาของเฮียฮ้อหรือไม่ นายจะเด็จ กล่าวว่า ตามหลักการแอนนี่ฟ้องร้องได้ แต่ความรู้สึกจิตใจที่เสียหายไปแล้วจะชดเชยเรียกค่าตอบแทนได้ไหม แล้วลูกของแอนนี่โตขึ้นจะรู้สึกอย่างไร เป็นความสูญเสียที่นับไม่ได้ด้วยตัวเงิน

ชี้คำพูดทำให้ภาพ”เฮียฮ้อ”ติดลบ
น.ส.อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการโครงการมูลนิธิผู้หญิง กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า น่าเสียใจที่ผู้ใหญ่ที่เคยวางตัวเป็นกลาง กลับพูดออกมาในลักษณะชี้ถูกชี้ผิดแทน ซึ่งเป็นกระทบกระเทือนต่อฝ่ายหญิงมากๆ ไม่จะเป็นตัวผู้หญิง และตัวเด็กเอง ทั้งที่ตอนแรกฝ่ายหญิงบอกว่าจะดูแลเอง ซึ่งก็ควรเคารพการตัดสินใจของเขา การพูดของเฮียฮ้อแบบนี้ทำให้ภาพของเฮียฮ้อติดลบทันที เพราะเป็นผู้ใหญ่ควรจะวางตัวเป็นกลาง การพูดแบบนี้ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่กลับทำให้เรื่องใหญ่ขยายวงกว้างมากขึ้นไปอีก ด้าน น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร ซึ่งทำงานด้านการส่งเสริมความยุติธรรมทางเพศในรัฐธรรมนูญ กล่าวว่าการแถลงข่าวของเฮียฮ้อสร้างความเสียหายอย่างมาก เฮียฮ้อต้องออกมารับผิดชอบคำพูดทุกคำที่พูดออกไป แม้ว่าอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม เพราะเรื่องแบบนี้ต้องระมัดระวังคำพูดค่อนข้างมาก เรารู้กันอยู่แล้วว่าไม่ควรนำเรื่องในที่ลับมาไขในที่แจ้ง ต้องคำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว

“แจ้ห่ม”รวมตัวประท้วงอาร์เอส
วันเดียวกัน ที่หอประชุมภัทรคุณ โรงเรียนแจ้ห่มวิทยา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง กลุ่มสตรี อ.แจ้ห่ม ประมาณ 400 คน นำโดยนางยุพิน วรรณารักษ์ อายุ 47 ปี ประธานกลุ่มฯ ได้รวมตัวกันพร้อมชูป้ายประท้วง มีข้อความว่า”กลุ่มสตรี อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ขอเป็นกำลังใจน้องแอนนี่”และ”เฮียฮ้อ ชาวลำปางขอต่อต้านสินค้าอาร์เอส”ซึ่งหญิงชาวบ้านส่วนหนึ่งที่มาร่วมประท้วงกล่าวว่า สงสารที่น้องแอนนี่ถูกคนดูถูกเหยียดหยาม เสียใจแทนเป็นอย่างยิ่ง ฝากบอกว่าคนที่ทำอะไรไปก็ต้องรับผิดชอบ และไม่เชื่อว่าน้องแอนนี่จะมีผู้ชายหลายคนอย่างที่ถูกกล่าวหา เพราะที่ผ่านมาชาวบ้านต่างรู้ดีว่าน้องแอนนี่เป็นเด็กดี เรียนเก่ง และรักแม่ของเขามาก แม้แต่ช่วงปิดเทอมยังไปทำงานปั๊มน้ำมันเพื่อหาเงินมาเลี้ยงแม่ แม้ขณะเป็นดารา ตอนกลับบ้านมาก็ไม่ถือตัว

“หล่อแล้วอย่ามาดูถูกผู้หญิง”
นางยุพิน กล่าวว่าในฐานะลูกผู้หญิงด้วยกัน น่าสงสารน้องแอนนี่มากที่ต้องเลี้ยงลูกด้วยตนเองเพียงลำพัง ไม่มีใครช่วย ซึ่งถือว่าหนักมาก แถมถูกผู้ชายมารุมด่า กล่าวหาว่าน้องแอนนี่มีผู้ชายหลายคน คนที่ถูกพาดพิงก็ออกมาปฏิเสธไปแล้ว และถ้าหากว่ามีผู้ชายหลายคน แล้วทำไมคุณต้องมาคบกับน้องเขาอีก”อย่ามองเห็นเพียงว่าเป็นคนหล่อแล้วมาดูถูกผู้หญิงแบบนี้ ทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่ และเป็นเพศที่อ่อนแอ เสียดายความหล่อที่มีอยู่แต่จิตใจไม่ดี และอย่ามองแต่เรื่องธุรกิจจนลืมถึงเรื่องความเป็นคน”

แม่รับเครียดจัดห่วงลูกหลาน
จากนั้นกลุ่มสตรีฯ ได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 106 หมู่ 4 ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม เพื่อเยี่ยมเยียนและมอบกระเช้าดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่นางจันทร์คำ มีเลข อายุ 54 ปี มารดาของแอนนี่ โดยนางจันทร์คำกล่าวด้วยน้ำเสียงอิดโรยว่า ขอขอบคุณที่เป็นห่วง ข่าวที่ออกมาว่าลูกสาวคบผู้ชายหลายคน ตนก็ไม่คิดอะไรมาก เพราะไม่ได้คิดจะเอาอะไรอยู่แล้ว ซึ่งทางน้องแอนนี่ได้โทรฯ มาหาบอกว่าแม่ไม่ต้องคิดอะไรมาก บอกว่าแม่ไม่ต้องดูข่าวเพราะกลัวว่าตนเองจะคิดมากแล้วไม่สบายไปอีก ซึ่งช่วงหลังมานี้ตนก็ไม่ได้ดูข่าวโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุ ถ้าเจอข่าวลูกก็เปลี่ยนสถานีหรือเปลี่ยนคลื่นไปซะ ยอมรับว่า 2-3 วันมานี้ตนเครียดมาก นอนไม่หลับเลย เพราะห่วงลูกและหลาน กินข้าวได้น้อยทำให้ซูบผอมลง ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเอาเรื่องราวกับคนที่กล่าวหาลูกสาวหรือไม่ นางจันทร์คำกล่าวว่าแล้วแต่ลูกสาว และฝากบอกน้องแอนนี่ว่าให้สู้ต่อไป ไม่ต้องห่วงแม่ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ บรรดาคนที่ไปให้กำลังใจต่างน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งกันเป็นแถว.
ที่มา dailynews