วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมียพันเอกคู่กรณีหมอมุกขอเลื่อนให้ปากคำ

“รองอำนวย” ฟันธงไม่เชื่อคำให้การของนายทหารใหญ่คู่กรณีหมอมุก เมียพันเอกคู่กรณีขอเลื่อนให้การคำ ด้านพฐ.เก็บหลักฐานละเอียดยิบ

จากกรณีเหตุการณ์สะเทือนใจ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก อายุ 34 ปี แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า บุตรสาว พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา อดีตอาจารย์หมอ รพ.ศิริราช ถูกชายนิรนามตั้งใจขับรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ นีโอ สีทอง ทะเบียน วค 1355 กรุงเทพฯ
 ซึ่งถูกระบุว่าเป็นของกรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พุ่งชนอย่างจังจนทำให้กลายเป็นเจ้าหญิงนินทรา ต่อมาพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผอ.กองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร บก.กองทัพไทย เข้ามอบตัวพร้อมกับอ้างว่า เป็นคนขับรถเก๋งคันดังกล่าว แต่หมอมุกกระโดดขึ้นมาชนรถเอง หลังมีปากเสียงกันเรื่องที่จอดรถ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจะเรียกภรรยาและบุตร ของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ที่เจ้าตัวอ้างว่าอยู่ด้วยกันขณะเกิดเหตุ มาสอบสวนเพิ่มเติมด้วย ส่วนการดำเนินคดีกับ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์เบื้องต้นตำรวจจะแจ้งข้อหาพยายามฆ่า แม้ว่าเจ้าตัวจะอ้างว่าเป็นการขับรถเคลื่อนออกไปโดยประมาทก็ตาม อีกทั้งเราดูที่เจตนาเป็นหลัก เพราะจากภาพวงจรปิดและพยานในที่เกิดเหตุแล้ว เชื่อได้ว่าคนขับมีเจตนาอย่างแน่นอน

ส่วนกรณีที่พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวอ้างว่าหม้อน้ำรั่วนั้น รอง ผบช.น.ระบุว่า ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อแต่อย่างใด ต้องนำรถมาตรวจสอบ ว่ารถเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เท่าที่ทราบรถคันดังกล่าวยังคงอยู่ในสัญญาเช่า ถ้าหม้อน้ำรั่วจริงสามารถส่งรถซ่อมได้ทันที นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังต้องตรวจสอบในส่วนของการชำระเงินค่าอาหาร เพราะทางพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์อ้างว่าชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ต้องนำหลักฐานมาตรวจสอบ เพื่อนำไปประกอบกับกล้องวงจรปิด ว่าเวลาที่ใช้บัตรเครดิตตรงกันหรือไม่

ด้าน พ.ต.ท.โชติ สุวรรณจุณีย์ รอง ผกก. (สส.)สน.พญาไท เปิดเผยว่าจากการสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ถือว่า เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีพอสมควร และในวันนี้ทางพนักงานสอบสวน ได้ประสานไปที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เพื่อเข้าไปดำเนินการตรวจสอบรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ษต 0405 กรุงเทพของหมอมุกที่บ้านพัก เพื่อไปเก็บหลักฐานเพิ่มเติม ในหลาย ๆ ประเด็นที่คาดว่า จะมีผลทางคดีมาประกอบกับคำให้การของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุในหลายละเอียดลงลึกมากไปกว่านี้ เนื่องจากอาจจะทำให้เสียรูปคดีได้

รอง ผกก.สส.สน.พญาไทระบุต่อว่า ก่อนหน้านี้ทางตำรวจได้นัดนางสภาวัน ภู่กลั่น ภรรยากับลูกของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์มาให้ปากคำตามที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวอ้างว่าอยู่ในที่เกิดเหตุ และลูกสาวเป็นคนเขียนบนกระจกรถหมอมุก โดยทางเรานัดไว้ตอน 10.00 น. แต่ทางนางสภาวันขอเลื่อนเป็น 14.00 น. พอใกล้ถึงเวลาโทรมาขอเลื่อนเป็น 16.00 น. โดยอ้างว่าต้องเข้าไปให้ปากคำกับกองทัพบก สุดท้ายโทรมาขอเลื่อนอีกครั้ง บอกจะมาให้ปากคำตำรวจในเวลา 10.00 น. วันที่ 23 มิ.ย.

ต่อมาเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ณฐพล สามเสน ผกก.กลุ่มงานตรวจสอบทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง พร้อมด้วย ร.ต.ท.สุดประเสริฐ หลัดกอง พงส.(สบ 1) สน.พญาไท พร้อมเจ้าหน้าที่ พฐ. เดินทางมาที่เสาวรสคลินิกเวชกรรม ถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท คลินิกของหมอมุก พร้อมกับนำเสื้อผ้าของหมอมุกที่ใส่ในวันเกิดเหตุ เป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงยืดสีดำมาเก็บหลักฐานอย่างละเอียด พร้อมกับตรวจรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ษต4056 กรุงเทพมหานครของหมอมุก เพื่อหาร่องรอยการเฉี่ยวชนรอบคัน และลายมือที่บริเวณกระจกด้านซ้าย

นอกจากนั้นกองพิสูจน์หลักฐาน ยังได้จำลองวันเกิดเหตุโดยนำรถมาจอดในสภาพเดียวกับที่รถของพอ.ศักดิ์สิทธิ์จอดขวางอยู่ และมีการบันทึกภาพ วัดระยะด้วยตลับเมตร โดยเริ่มตั้งแต่รถของพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มาจอดรถถ่ายภาพท้ายรถหมอมุก ซึ่งห่างจากจุดที่ชน 10.2 เมตร และจากจุดที่ชนจนกระทั่งหมอมุกกระเด็นไปหน้าบริษัทนิวยอร์คดีไซน์เนอร์ ซึ่งมีระยะทางห่างถึง 30.7 เมตร โดยกองพิสูจน์หลักฐานได้บันทึกค่าที่ได้ เพื่อไปทำกราฟฟิกที่เกิดเหตุ เพื่อคำนวนความเร็วของรถที่พุ่งเข้าชนหมอมุก ก่อนนำไปตรวจพิสูจน์ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และนำไปประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป

ขณะเดียวกันที่สน.พญาไท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีโทรศัพท์จากประชาชนชาวบ้าน โทรศัพท์เข้ามาสอบถามความคืบหน้าของคดีหมอมุกเป็นจำนวนมาก มีทั้งโทรมาให้กำลังใจหมอ และมีทั้งโทรมาสอบถามต่อว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ บางรายถึงขนาดจะเดินทางมาดูหน้า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ด้วยตาตัวเอง บางรายขอให้ตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวอิทธิพลของใคร เพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่าง สมกับคำว่า “บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว”.
ที่มา เดลินิวส์