เมื่อวันที่ 2 ก.ย. เวลา 19.17 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ "ชูวิทย์ รักประเทศไทย" เรื่อง "ใครได้ประโยชน์" ว่า เมื่อผมอภิปรายนโยบายของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 ประเด็นหลักของผมในวันนั้นที่จะอภิปรายคือ “อบายมุข” เพราะผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลพูดถึงเรื่องอบายมุขน้อยเต็มที แค่บรรทัดครึ่ง ในขณะเดียวกันรัฐบาลนำเรื่อง “ยาเสพติด” เป็นวาระแห่งชาติโดยถือว่าเป็นวาระเร่งด่วนที่จะจัดการภายในปีแรก
พอผมอภิปรายเรื่องนี้จบ ก็เกิดความวุ่นวายระส่ำระสายอย่างหนักในตำแหน่ง ผบ.ตร. และผู้รับผิดชอบในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนบ่อนการพนันทั่วไปในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็ได้ปิดไป รวมทั้งบ่อนอิทธิพลแห่งนี้ มีการขนย้ายของอุปกรณ์ของบ่อนการพนันแห่งนี้ภายหลังจากวันอังคารที่ผมอภิปราย โดยคืนวันอังคาร คืนวันพุธ คืนวันพฤหัส มีการขนย้ายกันตลอดในช่วงเวลากลางคืน ส่วนทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ท่านก็ใจถึงบอกว่าสอบสวนแล้วไม่ปรากฏว่ามีบ่อนแต่อย่างใด ผบ.ตร. ก็รีบแต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง” โดยให้รายงานผลภายใน 7 วัน อย่างไรก็ดี การตรวจสอบเป็นไปอย่างเชื่องช้า ขนาดว่าผมพูดวันอังคาร วันศุกร์ตอนเช้าตำรวจถึงจะไปดูสถานที่ เมื่อตำรวจไปถึง บ่อนการพนันซึ่งเคยยิ่งใหญ่ หรูหรา มโหฬาร ก็ไม่เหลือสิ่งใดเลย แม้กระทั่งฝ้า พรม และสิ่งต่างๆ รวมทั้งอุปกรณ์ได้ถูกขนย้ายออกไปจนหมดสิ้น
การพูดของผมได้รับการโหวตว่ามีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยยกย่องให้ผมเป็นถึงดาวสภาฯ ในการอภิปรายวันนั้น พรรคของผมที่มี ส.ส. เพียง 4 คน และการอภิปรายโดยใช้เวลา 15 นาทีของผม ส่งผลสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วประเทศ จนกระแสทำให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงต้องออกมายอมรับว่ามีบ่อนการพนันในพื้นที่ สน.สุทธิสาร ตามที่ผมอธิบายไว้จริง สังคมสนันสนุนชื่นชมการทำงานของผมหรือพรรครักประเทศไทย มากกว่า นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะหรือพรรคประชาธิปปัตย์ ซึ่งมุ่งโจมตีทางการเมืองเป็นหลัก
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน ผบ.ตร. ได้รับแรงกดดันในการรับผิดชอบ และตำแหน่งซึ่งฝ่ายการเมืองต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว กลับกลายเป็นว่า ผมกลายเป็นผู้ “ชงเรื่อง” หรือเป็น “สุนัขรับใช้” ผมกลายเป็นผู้ทำคุณบูชาโทษ สื่อมวลชนที่คิดว่าผมล้ำลึกถึงขนาดวางแผนร่วมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โดยการเปิดประเด็นบ่อนการพนันเพื่อโยกย้าย ผบ.ตร. ผมได้กลับกลายเป็น “จำเลยของสังคม” ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน
โดยที่สื่อมุ่งประเด็นทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ของสังคม พวกเขาเหล่านั้นโต้แย้งผมโดยบอกว่า
ทำไมผมไม่พูดถึงบ่อนอื่น ทำไมต้องเป็นบ่อนนี้?
ทำไมผมไม่พูดถึงเรื่องนโยบาย แต่มาพูดเรื่องบ่อนการพนัน?
หากท่านได้ฟังการอภิปรายของผมในวันนั้น จะเห็นว่าผมพูดในเรื่องนโยบายของรัฐเรื่องอบายมุขซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งบ่อนนี้อยู่ใจกลางเมือง อยู่ตรงข้ามสถานศึกษา เปิดกันโจ่งแจ้ง ไม่เกรงกลัวอิทธิพล แอบอ้าง บ่อนการพนันเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมซึ่งแน่นอนว่าเป็นบ่อเกิดของอบายมุขและยาเสพติดทุกชนิด แทบทุกคนแม้แต่สื่อมวลชนก็ทราบว่ามีบ่อนการพนันแห่งนี้อยู่ แต่ไม่มีใคร “กล้า” เพียงพอที่จะพูด เมื่อผมนำมาอภิปรายในสภาฯ ในวาระสำคัญ คือการแถลงนโยบายของรัฐ ผมกลับกลายเป็นมือไม้ให้กับรัฐบาล ทั้งๆ ที่ผมอยู่ฝ่ายค้าน หน้าที่ผมคือตรวจสอบรัฐบาล เมื่อท่านเห็นว่าผมมีเบื้องหลัง มีวาระแอบแฝง ท่านต้องดูด้วยว่าประโยชน์ของสังคมมีหรือไม่ ผมได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมหรือไม่จากการอภิปรายของผม มากกว่าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ไปแบบไม่มีหลักฐาน และไม่สร้างสรรค์ ผมเสนอเรื่องนี้มาเพื่อให้ปรับปรุงการทำงานซึ่งเห็นอยู่ว่ามีหลักฐานและเป็นข้อมูลใหม่เนื่องจากผมได้นำหนังสือพิมพ์ มีวันที่ระบุ มีหัวพาดข่าวชัดเจนว่าเป็นวันใด ในวีดีโอคลิปขณะที่ถ่ายทำในบ่อนด้วย
แต่เปล่าเลย สื่อมวลชนซึ่งทุกวันนี้แบ่งข้างแบ่งสีกันชัดเจน มุ่งตรงไปที่ประเด็นการเมือง การโยกย้าย มากกว่าประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม กล่าวหาผมอย่างไร้จริยธรรม
ท่านแน่ใจหรือ? ว่าผมรับงานเปิดประเด็นเรื่องนี้เพื่อโยกย้าย ผบ.ตร. หากผมไม่ได้แม้แต่จะคิดแล้วท่านมากล่าวหาผมแบบนี้ ท่านไม่คิดว่าท่านได้ทำลายความตั้งใจในการทำงานของผมลงไปอย่างหมดสิ้น แต่ในเมื่อ “สันดาน” ของพวกท่านเป็นอย่างนั้น ท่านอยู่ใกล้กับสิ่งสกปรกโสมมและอาจมจนกระทั่งท่านคุ้นเคยกับกลิ่นเหล่านี้ มันแทรกซึมอยู่ในทุกอณูในหัวสมองของท่าน ท่านไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกลิ่นเหล่านี้และคิดอะไรที่สร้างสรรค์ได้ ผมไม่ใช่คนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ขอบอกว่า ที่ท่านกล่าวหาผมว่ารู้เห็นเป็นใจ มีเบื้องหลัง ขอบอกว่าท่านมีสิทธิ์คิด แต่ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะผลักให้ผมเป็นแบบนั้น ผมมีศักดิ์ศรีของผมเช่นกัน
วันนี้ท่านไม่แน่ใจไม่เป็นไร เมื่อท่านตราหน้าผมไว้ วันข้างหน้าความจริงต้องปรากฏว่าผมทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจและเพื่อประโยชน์ของสังคม ผมขอสาปแช่ง หากผมมีใจคิดปฏิบัติแม้แต่น้อยในการวางแผนในการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร. หรือทำงานรับใช้ด้วยความไม่จริงใจกับประชาชน ขอให้ผมวิบัติไม่มีความสุขความเจริญทั้งครอบครัวผม แต่หากผมได้ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมขอให้ท่านที่กล่าวหาผมจงวิบัติฉิบหายอย่างที่ผมได้สาปแช่งไว้ ทุกประการ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์