ตำรวจชี้เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี เถื่อนสุด ๆ เผาเมือง-ปล้นสะดมร้านค้า-ปะทะโปลิศอย่างไม่เกรงกลัว เผยลอนดอนเริ่มคลี่คลาย บอลพรีเมียร์ส่อแววเลื่อน รอชี้ขาดผลประชุม 11 ส.ค.นี้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า เหตุจลาจลที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้ลุกลามไปยังเมืองอื่นๆอีกเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว แม้ในกรุงลอนดอน
เมืองหลวงของอังกฤษจะไม่มีเหตุรุนแรงแล้วก็ตาม หลังจากที่เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในลอนดอนได้กลายเป็นทะเลเพลิงไป เพราะกลุ่มวัยรุ่นได้เผาทำลายอาคารร้านค้า บ้านเรือน รถยนต์ และ ยังปล้นสะดมแย่งชิงทรัพย์สิน ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนก็ออกมาชุมนุมกันเพื่อป้องกันย่านที่อยู่อาศัยของพวกเขา ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการจลาจลเนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุ ไม่พอใจนโยบายการแก้ปัญหาปากท้องของรัฐบาลเป็นสำคัญ
รายงานข่าวแจ้งว่า มีการเพิ่มกำลังตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยจากเดิม 6,000 คนเป็น 16,000 คน หรือเกือบ 3 เท่า หลังจากเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่าจะทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อรื้อฟื้นความสงบสุขกลับคืนมาสู่พื้นที่โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ร้านค้าหลายแห่งต้องปิดทำการตามคำแนะนำของตำรวจ นายกรัฐมนตรีอังกฤษยังเตรียมเข้าประชุมคณะกรรมการสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นรอบที่ 2 เพื่อรับมือสถานการณ์รุนแรงที่ลุกลามไปอีกหลายเมือง
โดยเฉพาะที่เมืองแมนเชสเตอร์ เมืองใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กลุ่มวัยรุ่นสวมผ้าคลุมใบหน้า หรือหน้ากากสกี เพื่อปกปิดโฉมหน้าจำนวนหลายร้อยคน ได้บุกเข้ามาปล้นสะดมร้านค้าในเขตใจกลางเมือง และศูนย์การค้าอาร์นเดล ฉกฉวยทรัพย์สินสิ่งของ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยที่ตำรวจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เลย ซึ่งนายแกร์รี่ ฌอน ผู้ช่วยหัวหน้าตำรวจเมืองแมนเชสเตอร์ กล่าวว่า ไม่เคยพบเห็นเหตุอาชญากรรมอย่างนี้มาก่อน ซึ่งถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปีของเมืองแมนเชสเตอร์
นอกจากนั้นก็ยังมีการเผาทำลายอาคารบ้านเรือนในเมืองเวสต์ บรอมวิช และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ทางตอนกลางของประเทศ และยังมีการขว้างระเบิดเพลิงในเมืองน็อตติ้งแฮม ที่อยู่ใกล้ๆกัน แม้จะไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บก็ตาม กลุ่มวัยรุ่นปกปิดใบหน้ายังได้ปล้นสะดมร้านค้าในเมืองเบอร์มิงแฮมอีก รวมทั้งยังมีกลุ่มวัยรุ่น 200 คน ขว้างปาใส่ตำรวจในเมืองลิเวอร์พูล และในเขตตอนกลางของอังกฤษนั้น ตำรวจแจ้งว่า จับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 109 คน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ส่วนที่กรุงลอนดอน จับกุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้แล้ว 768 คน และตั้งข้อหาไปแล้ว 167 คน ในจำนวนนี้มีเด็กชายวัย 11 ปีรวมอยู่ด้วย ทำให้คุกในลอนดอนล้น ไม่พอที่จะใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเหล่านี้ ทางสำนักงานอัยการแจ้งว่า ต้องให้ทนายความทำงานอย่างหนักตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยตำรวจพิจารณาว่า จะต้องแจ้งข้อหากับใครบ้าง และรีบดำเนินการส่งฟ้องต่อไป ในส่วนของผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บไป 111 คน และ สมาชิกชุมชน 14 คนก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ในจำนวนนี้มีชายวัย 60 ปี ถูกทำร้ายขณะพยายามดับไฟที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นลอบวางเพลิง
สำหรับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายถึงขั้นเสียชีวิตรายแรกจากเหตุจลาจลครั้งนี้ ตำรวจแจ้งว่า เป็นชายวัย 26 ปี ถูกยิงเข้าที่หัวขณะอยู่ในรถยนต์ ในย่านครอยดอน ทางใต้ของกรุงลอนดอนได้รับบาดเจ็บสาหัสและไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังมีชายอีก 3 คน เสียชีวิตเพราะถูกรถชนระหว่างจลาจลในเมืองเบอร์มิงแฮม ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พวกเขาพยายามที่จะปกป้องชุมชนของพวกเขาให้รอดพ้นจากการถูกปล้นสะดม แต่ยังไม่มีการยืนยันรายละเอียดจากฝ่ายตำรวจ
แถลงการณ์ของพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลลีกของอังกฤษ ระบุว่า ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นในอังกฤษ และจะมีการประชุมหารือกันในวันพฤหัสบดีที่ 11 ส.ค.นี้ ระหว่างพรีเมียร์ลีก สโมสรฟุตบอลในลอนดอน ตำรวจนครบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาว่ากำหนดการแข่งขันของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในลอนดอน ซึ่งจะเปิดสนามช่วงสุดสัปดาห์นี้ จะสามารถดำเนินต่อไปตามแผนหรือไม่ แต่จากข้อมูลเบื้องต้นในขณะนี้ เชื่อว่า เกมการแข่งขันนอกเขตลอนดอนนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบแต่อย่างใด แต่หากมีความคืบหน้าใดๆ ก็จะแจ้งให้แฟนฟุตบอลทราบผ่านทางสโมสร ลีกการแข่งขัน และสื่อมวลชนทราบต่อไป
ในส่วนของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 30 หรือ ลอนดอน เกมส์ 2012 ระหว่างวันที่ 27 ก.ค.ถึงวันที่ 12 ส.ค.ปีหน้า ซึ่งลอนดอนจะได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพนั้น นายบอริส จอห์นสัน นายกเทศมนตรีนครลอนดอน กล่าวว่า เหตุจลาจลจะไม่มีผลกระทบต่อการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เพราะยังมีเวลาเหลืออีก 12 เดือน พอที่จะสร้าง ซ่อมแซมในส่วนที่ได้รับความเสียหาย และ ทางคณะกรรมการเตรียมการจัดการแข่งขันก็พร้อมที่จะพิจารณาทบทวนเรื่องมาตรการความปลอดภัยสำหรับการแข่งขันที่จะมีขึ้นด้วย
ที่มา เดลินิวส์