ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแล้วนั้น นายกรัฐมนตรีได้นัดหมายคณะรัฐมนตรีพร้อมกันในเวลา 14.30 น. วันนี้ (10 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อถ่ายภาพร่วมกันก่อนที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายสัตย์ ปฏิญาณก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลศิริราช ในเวลา 17.30 น. ทั้งนี้ในช่วงเช้าทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมห้องประชุมสีเหลือง
ตึกสันติไมตรี ไว้สำหรับถ่ายภาพ ทำบัตรและตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ นามสกุล ตำแหน่งทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งยังเตรียมพื้นที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าไว้สำหรับถ่ายภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกด้วย แต่ถ้าเกิดฝนตกก็จะย้ายไปถ่ายภาพร่วมกันภายในตึกสันติไมตรีหลังนอก นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์ระเบิด(อีโอดี) สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจพื้นที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาลด้วย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยได้เดินมามาจัดห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี บริเวณชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้าซึ่งส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์สำนักงานที่ทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และไม่ได้เพิ่มเติมอะไรเป็นพิเศษ ส่วนตึกบัญชาการที่เป็นสถานที่ทำงานของรองนายกรัฐมนตรี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาและคณะทำงานนั้นได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมครม.นัดแรกในวันที่ 11 ส.ค.เวลา 09.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล
“ยิ่งลักษณ์” ขอโอกาส ครม.ทำงาน 6 เดือน
ที่รัฐสภา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมโฉมหน้า ครม. “ยิ่งลักษณ์ 1” และเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมถึงความไม่เหมาะสมในหลายตำแหน่งว่า ถือเป็นการเปิดเริ่มของ ครม.ใหม่ ซึ่งที่เราได้พูดคุยกันมาก็พยายามพินิจพิจารณาอย่างดี ครม.ชุดนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาพรวมของประเทศไทย ถามว่ารู้สึกอย่างไรที่แค่เริ่มต้นก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน้าตาของครม. ขี้เหร่กว่าหน้าตาของนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวย้อนถามว่า จริงหรือค่ะ อยากขอให้ประชาชนให้โอกาสกับการทำหน้าที่ของ ครม.เพราะเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกมีความตั้งใจที่อยากจะมารับใช้ประชาชน และอยากขับเคลื่อนในนโยบายต่างๆ
ถามว่าคิดว่าการวางตัวบุคคลากรเหมาะสมกับเนื้องานหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอใช้คำว่าได้พิจารณาอย่างเต็มที่ ความจริงแล้วก็มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถหลายคน และเราก็มองจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ต่อข้อถามว่ากลายเป็นว่าการวางตัว ครม.ครั้งนี้เป็นการบริหารการเมืองมากกว่าความตั้งใจที่จะมาบริหารประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอโอกาสให้ ครม.และฝ่ายบริหารได้เริ่มทำงานก่อนดีหรือไม่ อย่าดูแค่เฉพาะตัวบุคคล แต่อยากให้ดูเป็นภาพรวม
ถามต่อถึงเหตุผลในการเลือกนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.ต่างประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า นายสุรพงษ์ เป็นผู้มีประสบการณ์ เป็นส.ส.มาหลายสมัย เคยทำงานในคณะกรรมาธิการ ร่วมกับข้าราชการต่างๆ นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ในการทำงานบริษัทเอกชนในระดับประเทศ และยังเข้าใจทางด้านการค้าด้วย ซึ่งก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน ส่วนความสามารถในการประสานงานทางการทูตนั้น ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศก็คงจะช่วยทำหน้าที่นี้ได้อยู่แล้ว
ถามถึงเสียงติงจากรองประธานสภาอุตสาหกรรมที่แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับการบริหารด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มาเป็น รมว.คลัง ที่จะไปเน้นเรื่องของตลาดทุนมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจมหภาค น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ จะเป็นคนดู และในอนาคตนายกิตติรัตน์คงจะเชิญที่ปรึกษาเข้ามาช่วยงานเพิ่มเติม เราเองไม่ได้มองเรื่องตลาดทุนอย่างเดียว แต่มองทั้งภาคอุตสาหกรรมต่างๆด้วย ส่วนนายกิตติรัตน์นั้น ยอมรับว่ามาจากตลาดทุน แต่การขับเคลื่อนงานนั้นไม่ได้ความว่านายกิตติรัตน์จะทำงานคนเดียว แต่จะมีผู้ที่มีความรู้หลายๆด้าน และในอนาคตก็คงจะมีการเชิญผู้ที่มีความรู้ในด้านต่างๆทุกแขนงมาช่วยทำงานเพิ่มเติมด้วย
ถามต่อว่าเท่ากับบุคลากรทางเศรษฐกิจที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรียังมือดีไม่พอ จึงต้องดึงคนอื่นๆ เข้ามาช่วยทำงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ วันนี้นายกิตติรัตน์ได้ศึกษางานมามาก ไม่ใช่แค่เรื่องของตลาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่ประสบการณ์ในเรื่องของตลาดทุนก็จะทำให้มีความเข้าใจในงานทุกๆแขนง รวมทั้งงานในภาคอุตสาหกรรมด้วย เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายด้านการเงินและการคลังมีความสอดคล้อง ไม่สวนทางจนเกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการพิจารณาอยู่แล้ว การทำงานทุกอย่างเราเองก็ต้องคุยกับหลายๆฝ่ายอยู่แล้ว เมื่อถามว่าจะให้เวลารัฐมนตรีทำงานแค่ไหนจึงจะประเมินผลการทำหน้าที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อย่างน้อยก็ต้องผ่านไปสัก 6 เดือน เพราะการบริหารประเทศเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำความเข้าใจ รวมถึงเวลาการขับเคลื่อนนโยบาย อย่างวันนี้ เมื่อ ครม.ได้เข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญานตนในวันนี้แล้ว ก็คงจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 15 วัน ที่จะแถลงนโยบายถึงจะเริ่มทำงานได้
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศและความรู้สึกของข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้าง ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) และหน่วยงานในกำกับ ว่ายังคงนิ่งๆไม่ตื่นเต้นที่น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นรมว.ไอซีทีคนใหม่ เนื่องจากมองกันว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนรมว.ไอซีทีจะมีความหวังและโอกาสที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในการผลักดันนโยบายเกี่ยวกับการสื่อสาร และการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทุกภาคส่วนให้เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่อยากให้ทุกคนเริ่มต้นที่การตั้งแง่ แต่อยากให้โอกาสรมว.ไอซีทีใหม่ได้แสดงฝีมือก่อนว่าจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและผลักดันการเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วนได้อย่างไร
สำหรับ น.อ.อนุดิษฐ์ รมว.ไอซีทีคนล่าสุด และเป็นคนที่ 10 หลังก่อตั้งกระทรวงไอซีทีมาตั้งแต่ปี 2545 เคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นเลขานุการรมว.กลาโหม, ที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์, ประธาน คณะกรรมการประสานงาน และติดตามผล การดำเนินงานนโยบายลำไย ประจำปี พ.ศ. 2548 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เสื้อแดงไม่ผิดหวังไม่ได้รัฐมนตรี
นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ครม.ยิ่งลักษณ์1 ไม่มีกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี ว่า เท่าที่ดูครม.ชุดนี้ถือว่าหน้าตาสวยดี บุคคลแต่ละท่านล้วนมีความสามารถสูง น่าจะแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ ส่วนที่ไม่มีคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้วยนั้น ก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร และคงต้องทำใจ อย่างไรก็ตาม อยากจะขอให้คนเสื้อแดงอย่าออกมาเคลื่อนไหวกดดัน หรือก่อความไม่สบายใจให้กับสังคมแต่ควรจะต้องให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ ทำงานเพื่อชาติ และอยากให้ทุกฝ่ายมองประโยชน์ของบ้านเมือง เพราะปัญหาบ้านเมืองมีมากมายที่รัฐบาลต้องแก้ไข หากจะปรับครม.ให้คนเสื้อแดงเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในครั้งหน้าก็เห็นว่าไม่จำเป็น แต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความสามารถ ถ้ารัฐบาลเห็นว่ามีประโยชน์ก็เรียกใช้ได้
เมื่อถามว่า แกนนำเสื้อแดงบางคนมีชื่ออยู่ในโผมาตั้งแต่ต้นแต่สุดท้ายก็ต้องหลุดไป นายก่อแก้ว กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมชาติทางการเมือง แต่ขณะนี้ตนมองว่าการแต่งตั้งครม.จบแล้วจากนี้คงต้องดูความสามารถในการทำงานของรัฐมนตรีแต่ละคน ส่วนคนที่พลาดหวังก็ขอให้ทำใจ และหันมาให้กำลังใจรัฐบาลชุดนี้จะดีกว่า ต่อข้อถามว่าการที่เสื้อแดงไม่ได้เป็นรัฐมนตรีเป็นเหตุผลเกี่ยวข้องกับเรื่องความปรองดองหรือไม่ นายก่อแก้ว กล่าวว่า เป็นความตั้งใจดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ทางคนเสื้อแดงเองก็มีแนวคิดที่จะทำอย่างไรให้สังคมสงบ ส่วนตัวมองว่าเป็นการวางคนให้เหมาะสมกับภารกิจมากกว่า และเชื่อว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เห็นด้วยกับความปรองดอง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกส่วน
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะมีบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างไร นายก่อแก้ว กล่าว่า เบื้องต้นคงจะให้รัฐบาลทำงานก่อน 6 เดือน ซึ่งทางคนเสื้อแดงจะตรวจสอบใน 2 ลักษณะ คือประสิทธิภาพในการทำงาน ผลงานของรัฐมนตรีแต่ละคนมีมากน้อยเพียงใด และจะตรวจสอบว่ารัฐมนตรีทุจริตหรือไม่นอกจากนี้ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานนปช.จะร่วมมีบทบาทในการตรวจสอบด้วย อย่างไรก็ตาม คงไม่ถึงขั้นการออกมาชุมนุมประท้วง แต่จะใช้วิธีการบอกผ่านสื่อมากกว่า สำหรับคดี 91 ศพ คงต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณอดีตรองนายกฯประกาศชัดเจนว่าจะไม่ขอนิรโทษกรรมตัวเองและขอพิสูจน์ในชั้นศาลเช่นเดียวกับนปช.เช่นกัน ซึ่งทางนปช.ก็มั่นใจในความบริสุทธิ์ ดังนั้นเรื่องนี้คงต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่าใครผิดก็ไปตามผิดทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ จงใจออกคำสั่งปราบปรามผู้ชุมนุม ดังนั้นจะต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน
“เฉลิม” มั่นใจไร้เสื้อแดงเป็น รมต.ไม่กระเพื่อม
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)ว่า นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้มอบหมายงานให้กับรองนายกรัฐมนตรี จึงยังตอบอะไรไม่ได้ และการที่รัฐบาลนี้มีรองนายกฯถึง 5 คนก็ไม่มีปัญหา เพราะอยู่ที่การมอบหมายงานมากกว่า ผู้สื่อข่าวถามว่ามีนักวิชาการรุมวิจารณ์ต่อต้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นายสุรพงษ์เหมาะสม เพราะเป็นนักศึกษาในต่างประเทศมานาน มีความรู้ระดับปริญญาเอก จึงเชื่อว่าจะทำงานได้ดี ที่ผ่านมานักวิชาการมักจะวิจารณ์เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่เสียงวิจารณ์เหล่านี้จะทำให้รัฐมนตรีทำงานขยันขึ้น อย่างตนสมัยเป็น รมว.มหาดไทย เป็น รมว.ยุติธรรม เป็น รมว.สาธารณสุข ก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นที่ยอมรับ แต่เมื่อตนได้ทำงานไปแล้วหากไปทำโพลสำรวจความเห็น จะพบว่าเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย นักวิชาการที่ออกมาวิจารณ์ที่ผ่านมาก็วิจารณ์ผ่านทางโทรทัศน์ แต่พรรคเพื่อไทยก็ยังได้ส.ส.ถึง 265 คน และนักวิชาการที่รักพวกตนคอยชมและสนับสนุนพวกตนก็มี
ถามว่า มีการวิจารณ์ว่าครม.ชุดนี้อาจทำเพื่อคนตระกูลชินวัตร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เขาก็ด่าอย่างนี้ทุกเวทีปราศรัย ตนก็อยากถามว่าแล้วประชาชนเขาเชื่อหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาประชาชนก็เลือก ส.ส.พรรคเพื่อไทย เข้ามาถึง 265 คน ถามว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการพิสูจน์ผลงาน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีกำหนดเวลา เพราะรัฐบาลจะทำงานทันทีแบบ “พั้วะ” เลย
ถามต่อว่า การที่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มเสื้อแดงไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้ไม่มีสมาชิกคนเสื้อแดงได้เป็นรัฐมนตรี จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ไม่มีผลกระทบหรือแรงกระเพื่อม เพราะทุกคนรักพรรค ถามต่อว่าครม.ชุดนี้เข้าข่ายยี้หรือไม่ เพราะนายชวรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุหน้าตาครม.สวยสู้หน้าตาของนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ฝ่ายค้านไม่เคยชมรัฐบาลอยู่แล้ว และยังเร็วเกินไปที่จะวิจารณ์ เพราะครม.ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ยืนยันว่า ครม.ชุดนี้เรียบร้อย ทำงานดี และไม่มีทุจริต ซึ่งก็ถือว่ากำไรไปแล้วค่อนหนึ่ง และเชื่อว่าเป็นที่ยอมรับของข้าราชการ
“สุรพงษ์” น้อมรับเสียงวิจารณ์ยันไม่พา “ทักษิณ” กลับ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ ว่า ตนยอมรับคำวิจารณ์ และถือว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นั้นเป็นคำสั่งสอนให้ตน หากมีสิ่งใดที่อยากชี้แนะตนเพื่อให้ได้เรียนรู้พร้อมน้อมรับ เพราะการทำงานในตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ ตนต้องขอรับการสนับสนุนจากข้าราชการทุกคนในกระทรวงฯ ที่จะให้คำชี้แนะ ให้ความรู้ และสั่งสอนตน เพื่อจะนำพาประเทศให้ก้าวไปสู่สังคมโลก เป็นที่ยอมรับของต่างชาติ เพราะเป้าหมายหลักของรัฐบาลนี้ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย คืออยากจะเปลี่ยนสนามรบ สนามทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นสนามการค้า ดังนั้นจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เต็มความสามารถ และจะสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้คืนสู่การเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ตนไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าจะได้นั่งกระทรวงนี้ ตอนนี้ยังตื่นเต้นอยู่เลย ยอมรับว่าเป็นงานหนัก เพราะตลอดชีวิตที่เป็น ส.ส. ก็เป็นประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลัง ตอนอภิปรายก็อภิปรายเรื่องไอซีที วันนี้มารับงานใหม่ แต่จะทำงานให้เต็มที่ และขอโอกาสทำงาน ถ้าถามว่ามั่นใจหรือไม่ ตนก็มั่นใจ แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการและประชาชนด้วย
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศเริ่มออกมาตั้งแง่คัดค้านนั้น ก็ไม่เป็นไร ยอมรับว่าตนอาจจะใหม่ในด้านนี้ แต่จะทำให้เต็มที่ ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้าราชการในกระทรวงทุกคน คงจะให้ความรู้และสั่งสอนตน เพราะทุกคนทำงานประจำอยู่แล้ว จะมีข้อมูลต่าง ๆ ดี ตนเข้าไปในฐานะผู้บริหาร ก็จะไปตัดสินใจหรือบริหารตามข้อมูลที่ข้าราชการในกระทรวงนำเสนอ ส่วนความรู้ในด้านการทูตนั้น คงไม่ยากที่จะเรียนรู้ สำหรับการวิเคราะห์ว่าที่ได้ตำแหน่งนี้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องการให้มาช่วยพากลับประเทศไทยได้เร็วขึ้น นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณเลย ตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศก็เพิ่งมารู้เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ช่วงเย็น ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้มีชื่อไปอยู่ในหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงไอซีที หรือ รมช.คลัง เมื่อถามย้ำว่ายืนยันได้หรือไม่ว่าจะเข้ามาทำงานเพื่อประเทศจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้านแน่นอน แต่ทำงานเพื่อประเทศ และยึดความถูกต้องเป็นหลัก ส่วนที่วิจารณ์ว่าตนเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ยอมรับว่า อาของตนแต่งงานกับอาห่าง ๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ยืนยันว่าจะไม่เอาเรื่องนี้มายุ่งเกี่ยวกับงาน กรณีการคืนหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังไม่ได้ดูในรายละเอียด ขอเวลาเข้าไปศึกษาดูก่อน ซึ่งต้องไปดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องเราก็ทำทุกอย่างให้ถูกต้องเท่านั้นเอง
เมื่อถามต่อว่าแสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีสิทธิได้คืนหนังสือเดินทางใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขอดูข้อมูลอีกที ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงให้ตนทราบอีกที
“ยุทธศักดิ์” เปิดใจลั่นโผทหารไม่ย้าย ผบ.เหล่าทัพ
ที่สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม เปิดใจว่า ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ตนโชคดีคราวนี้เพราะด้วยความจงรักภักดี ระลึกถึงพระกรุณาธิคุณท่านให้ช่วยตนตลอดเวลา ตนพร้อมจะถวายชีวิตให้ตลอด ส่วนการเข้าไปทำงานในกระทรวงกลาโหม ทางสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม บอกว่า จะให้ตนเข้าไปในกระทรวงกลาโหมวันที่ 16 ส.ค.นี้ และจะนัดผบ.เหล่าทัพมารับที่กระทรวงกลาโหมด้วย เพื่อชี้แจงสรุปสั้นๆ และจะพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพ เพื่อให้ผบ.เหล่าทัพมั่นใจในการทำงาน และร่วมกันทำงานตามภารกิจของกระทรวงกลาโหมในการดูแลสถาบันพระมหากษัตริย์ ดูแลด้านความมั่นคง และการพัฒนาหน่วย หากรัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จตนจะเริ่มทำงาน ก่อนจะมีการประชุมสภากลาโหม ตนจะขอความกรุณาจากผบ.ทบ.ว่า สัปดาห์หน้าจะลงไปเยี่ยมในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นการส่วนตัวก่อน จากนั้นจะไปที่กองทัพภาคที่ 2 ในพื้นที่จ.ศรีสะเกษ เพื่อดูสถานการณ์ และไปเยี่ยมกองทัพภาคที่ 3 เพื่อตรวจเยี่ยมอุทกภัยน้ำท่วม
พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานรมว.กลาโหม ทางพรรคเพื่อไทยจะมีส่วนในการเสนอบุคคลเข้ามาเป็นเลขานุการ ที่ปรึกษา และ ผู้ช่วยรมว.กลาโหม ตนอยากได้เลขานุการรมว.กลาโหมที่มีลักษณะอย่าง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ และน.ต.ศิธา ธิวารี เพราะสามารถ ติดต่อประสานส.ส.ในพรรคได้ แต่คิดว่า เลขาฯไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร แต่สามารถพูดคุยกับผบ.เหล่าทัพได้ และเป็นคนที่กว้างขวางพอที่กองทัพจะยอมรับเพราะเลขาฯต้องรับผิดชอบทั้งทางทหาร และสภา ส่วนพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี สมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้นก็สามารถเป็นได้ เพราะท่านรู้จักส.ส.มาก แต่ท่านอาจจะไม่เป็นเลขาฯตน เพราะจากขีดความสามารถท่านต้องเป็นสูงกว่านั้น แต่หากพร้อมมาเป็นก็ไม่มีปัญหา เชื่อว่า อีก 2-3 วันคงจะหาตัวเลขาฯได้
เมื่อถามถึงความระแวงว่า อาจมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายผบ.เหล่าทัพ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงไม่มีการโยกย้ายผบ.เหล่าทัพที่เป็นอยู่ การปรับย้ายคราวนี้ต้องเปลี่ยน 3 ผู้นำหลักทั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารเรือ การที่ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำได้ต้องคุยกันทุกคน และมีความเห็นชอบ รวมถึงคนที่ขึ้นมาต้องทำงานร่วมกันได้ คิดว่า ตนไม่มีความรู้สึกกินแหนงแคลงใจกับน้องๆเลยสักคน การปรับย้ายนายทหารขอให้สบายใจได้ ซึ่งตนจะคุยกับผบ.เหล่าทัพทุกเหล่าทัพว่า เขาคิดอย่างไร เมื่อทุกอย่างลงตัว และทุกอย่างเกิดผลประโยชน์ต่อส่วนร่วมก็โอเค จึงจะร่วมประชุมและเสนอขึ้นมา ซึ่งง่ายกว่าที่จะมานั่งโหวตกัน ทั้งนี้ตนจะไม่เข้าไปเลือกคนที่จะเป็นผบ.เหล่าทัพ แน่นอน แต่จะเป็นลักษณะคุยกับ ผบ.เหล่าทัพว่าที่เสนอคนนี้เพราะอะไร เลือกคนนี้เพราะอะไร แล้วทำไมไม่เลือกคนนี้ทั้งที่อาวุโสสูงกว่า เขาก็ต้องมีเหตุผลให้เราฟัง เช่นมีตัวเลือก 5 คน ทำไมเขาถึงเลือกคนนี้ ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ได้ฝากอะไร ท่านพูดแล้วว่า อยากให้ดูงานด้านปรองดองเป็นหลัก ทั้งนี้ในวันที่ 10 ส.ค. ระหว่างเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ ฯ คงได้พบกับ ผบ.เหล่าทัพ จากนั้นก็จะนัดคุยกัน นัดกินข้าวแบบเป็นกันเอง
“ ถ้าน้องๆ ไม่มากินกับผม ผมก็ไปขอก๋วยเตี๋ยวกินที่ บก.ทบ.สักชามก็ได้ ไม่ยากหรอกครับ” พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า จะให้ความเป็นธรรมอย่างไรเพราะที่ผ่านมามีการแบ่งขั้ว บูรพาพยัคฆ์ และ วงศ์เทวัญ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ก็ต้องบอกเขาว่าตอนนี้ไม่ได้ เมื่อเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ต้องเห็นทุกคนเป็นลูกน้อง ผบ.เหล่าทัพหมด ไม่อย่างนั้นจะเกิดทหารแตงโมเพิ่มขึ้นอีก เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนกรณีที่พล.อ.อำนวย ถิระชุณหะ ตท.10 ในพรรคเพื่อไทยออกมาต่อต้านท่านที่ได้รับการเลือกให้เป็นรมว.กลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ต้องรู้ประวัติคนที่ด่าตนว่า เป็นอย่างไร ตท.10 หลายคนก็โทรศัพท์มาหา บอกว่า เขาไม่ได้ยุ่งด้วย บอกว่าเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยได้เรื่อง พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง รองผบ.สส. ก็โทรศัพท์มาถาม ตนไม่รู้ว่า คนพูดเป็นอะไร ไปด่าท่านประธานองคมนตรีทำไม มาหาว่า ตนเป็น รมว.กลาโหมแล้วอำมาตย์จะมีพลังมากยิ่งขึ้น มาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร และ ตนต้องไปพบพล.อ.เปรม เป็นคนแรก อยู่แล้ว ท่านเป็นนายตน จะไม่พบได้อย่างไร
เมื่อถามถึงแนวทางการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องการจัดหายุทโธปกรณ์กองทัพมีแผนทั้งระยะยาวและระยะสั้นอยู่ ตนคงไม่ไปตัดงบประมาณหรือไปปรับแผนของเขาโดยเด็ดขาด จะให้เป็นไปตามที่เขาเสนอไว้แล้ว ส่วนที่จะขอใหม่เพิ่มเติม เราต้องดูแผนยุทธการของเขาว่า แผนการพัฒนากองทัพอยู่ในแผนหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ งบประมาณมีหรือไม่ ส่วนการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือนั้น เราต้องนำมาดูก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเป็นกาวใจผสานรอยร้าวระหว่างกองทัพกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ต่อไปถ้ามีอะไร เราต้องคุยกัน ตนจะเป็นตัวแทนกองทัพว่า กองทัพหรือพรรคเพื่อไทยทำอะไรที่กระทบกระเทือนต่อกันหรือไม่ ตนจะไม่ให้มีการพูดจากันไปมาให้แคลงใจกันอีก ระหว่างที่หาเสียงบางคนที่พูดกระทบกระเทียบกองทัพ ตนก็ขอร้องว่า อย่าพูดเลย เพราะกระทบกระเทือนใจ และไม่ส่งผลประโยชน์อะไร ซึ่งเขาก็เข้าใจ เชื่อว่า ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับพรรคเพื่อไทยคงดีขึ้น ต่อไปกองทัพต้องเป็นกองทัพของประชาชน จะไม่ให้ออกมาเกิดภาพว่า เป็นกองทัพของพรรคใดพรรคหนึ่ง ถ้าพรรคการเมืองอ่อนแอเมื่อไหร่ก็จะอาศัยกองทัพ ต้องไม่เอากองทัพไปเป็นที่พักอาศัยของพรรคการเมือง ในสมัยที่ผ่านช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์ เกิดจากการเมืองอ่อนแอเลยต้องมาอิงกองทัพ ถ้าการเมืองและกองทัพแข็งแรงก็ไปด้วยกัน
ส่วนการจะเดินทางเข้าพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ หรือไม่นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ตนไปกราบท่านเป็นประจำอยู่แล้ว เมื่อตนได้ตำแหน่งนี้ ตนต้องไปกราบท่านในฐานะที่ท่านเป็นผุ้ใหญ่ที่ตนให้ความเคารพนับถือ เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรจึงจะแก้ข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยไม่จงรักภักดีได้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มดีขึ้น และผู้ใหญ่ระดับสูงในพรรคเริ่มมีความคิดที่จะทำทุกอย่าง เพื่อสนองพระเดชพระคุณ และเทิดทูนสถาบัน เพราะสถาบันเป็นศูนย์รวมใจของคนไทย เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า ทหารจะไม่มีการปฏิวัติ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มี มั่นใจว่า ทหารยุคนี้ไม่ทำ และถ้าตนได้ข่าวว่า จะมีการปฏิวัติ ตนจะเดินไปไหว้ และถามว่า ไม่พอใจอะไรรัฐบาล สามารถคุยกันได้
“กรณ์” ผิดหวังรัฐบาลเพื่อไทยดึงคนนอกนั่ง รมต.
นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรมว.คลัง กล่าวถึงการจัดคณะรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะในส่วนของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ว่า เป็นความพยายามเชิญชวนคนจากนอกพรรคมาปฏิบัติหน้าที่ที่ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสังเกต เพราะตนมีความเชื่อมาตลอดว่าผู้ที่อาสามาเป็นผู้แทน และผ่านการทำหน้าที่ขอคะแนนสนับสนุนจากประชาชนนั้นจะมีคุณสมบัติทำงานและก็ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนได้ดีกว่าผู้ที่ไม่เคยต้องไปตอบคำถามกับประชาชนเลย ดังนั้นในฐานะผู้แทนราษฎร์คนหนึ่งจึงรู้สึกผิดหวัง ถึงการเอาคนนอกพรรคเพื่อไทยเข้ามาในหลายตำแหน่งทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงสนับสนุนเสียงข้างมาก มีส.ส.มากกว่าครึ่ง แต่เหตุใดจึงไม่สามารถหาบุคลากรที่ประชาชนเลือกมามาปฏิบัติหน้าที่สำคัญๆได้
นายกรณ์ กล่าวว่า ตัวบุคคลที่เข้ามารับตำแหน่ง ทั้งนายธีระชัยหรือนายกิตติรัตน์นั้น ถือเป็นผู้มีประสบการณ์สูงในตลาดทุนทั้งคู่ ดูเหมือนว่ามีนัยยะพยายามที่จะส่งเสริมตลาดทุน ซึ่งตนเห็นด้วย และอยากฝากว่าแผนการจะพัฒนาตลาดทุนที่กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพตลอดช่วง2ปีที่ผ่านมา ร่วมกันกับก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ จึงขอให้ทั้ง2ท่าน สานต่องานที่ทำไว้ อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าทั้ง2 รายนี้ในอดีตมีความพยายามจะปฏิเสธข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการกระทำผิด ในเรื่องที่เกี่ยวกับการขายหุ้นของครอบครัวชินวัตร ตั้งแต่ปี 49 จึงทำให้เป็นคำถามในสายตาสาธารณชนว่า ทั้งหมดนี้คือการตอบแทนกันหรือไม่ รวมถึงทั้ง2 มีแนวคิดอย่างไรต่อเรื่องเศรษฐกิจ และจะช่วยแห้ปัญหาปากท้องให้กับชาวบ้านอย่างไร จะนำเงินมาจากไหนมาใช้ในนโยบายขับเคลื่อนนโยบายที่หาเสียงไว้ เพราะไม่เคยเป็นที่ประจักษ์มาก่อน เนื่องจากในช่วงหาเสียงพรรคเพื่อไทยได้ให้นายโอฬาร ไชยประวัติ และนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช แสดงวิสัยทัศน์มาตลอด
นายกรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ทำให้สถานะของประเทศเข้มแข็งทางเศรษฐกิจมาก ทั้งเงินคงคลัง ทุนสำรอง เสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่สูงขึ้น เหล่านี้คือที่มาของความเชื่อมั่น ดังนั้นการรักษาความเชื่อมั่นด้วยการรักษาเสถียรภาพทางการคลังจึงเป็นเรื่องสำคัญ และการที่จะทำได้คือการยึดหลักข้อตกลงที่กระทรวงการคลังมีไว้กับสำนักงบประมาณ สภาพัฒน์ฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดินไปการมีงบประมาณสมดุล ภายใน4ปี ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ และการจัดทำงบประมาณปี55 ที่จะถึงนี้ แม้จะมีความจำเป็นต้องขาดดุลก็ต้องขาดดุลในระดับที่ต่ำกว่างบประมาณปี 2544 หรือประมาณ 3แสน 5หมื่นล้านบาท
ปชป.ตั้งฉายาครม.ใหม่ต่างตอบแทน
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าว ว่า ครม.ชุดนี้เป็นครม.ต่างตอบแทน ประกอบด้วยคน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. ครม. ตอบแทนสายตรงนายใหญ่และนายหญิงที่อยู่ในพรรค 2. ตอบแทนกลุ่มข้าราชการเก่าที่มีความผูกพันและอุปถัมภ์คอยให้การช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 3. ตอบแทนกลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรค 4. ตอบแทนคนที่มีส่วนช่วยเหลือปกป้องในเรื่องคดีถือหุ้นของตระกูลชินวัตร และ5. ตอบแทนเพื่อนร่วมรุ่นพ.ต.ท.ทักษิณ
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรมว.ต่างประเทศเป็นอย่างไร นายองอาจ กล่าวว่า หากไม่ได้รับการยอมรับตั้งแต่ต้น น่าจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน แต่ก็ต้องติดตามผลงานของรัฐบาลชุดนี้ไปก่อน ว่าจะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่ ตนคิดว่าปัญหาที่สำคัญส่วนหนึ่งคือ การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ พิสูจน์ได้ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นไปตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวไว้ว่าจะมีการจัดโผครม.ด้วยตัวเอง แต่กลับเห็นได้ชัดเจนว่ามีการต่อสายตรงและยังเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น กรณีพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ประกาศว่าจะไม่รับตำแหน่ง มีการติดต่อถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และโทรศัพท์ไปหา พ.ต.ท.ทักษิณ อีกด้วย
“แต่ก็ต้องดูที่การทำงานของครม.ต่อไปว่าจะมีผลงานเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าหน้าตาของครม.จะค่อนข้างขี้เหร่ก็ตาม เพราะชื่อของรมว.ต่างประเทศ อย่างนายสุรพงษ์ ตนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศด้วยความงุนงงเล็กน้อยว่า ทำไมจึงได้ตำแหน่งนี้ นอกจากนี้นายสุรพงษ์ เองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน และไม่ได้ตั้งใจมาทำงานในตำแหน่ง ”นายองอาจ กล่าว
“สุกุมล” นั่งวัฒธรรมสนองงานเจ้าฟ้าเพชรรัตนฯ
นางสุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า เป็นโอกาสที่ดีที่ได้เข้ามาเป็น รมว.วัฒนธรรม และทำงานด้านวัฒนธรรม ถึงแม้ว่า วธ.จะเป็นกระทรวงเล็ก ๆ แต่ขอบข่ายการทำงานค่อนข้างกว้าง และมีงานที่ต้องขับเคลื่อนจำนวนมาก สำหรับงานเร่งด่วนที่ต้องผลักดันคือการประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ และการก่อสร้างพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ส่วนนโยบายหลักของตนที่จะใช้ขับเคลื่อนงานของ วธ.นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการ คาดว่า จะได้ข้อสรุปทั้งหมดว่าจะมีโครงการ และนโยบายอย่างไรบ้างภายในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ตนจะแถลงนโยบายที่จะใช้ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมทันที
นางสุกุมล กล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้น นโยบายหลัก ๆ ของตน จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดึงให้เด็ก และเยาวชนคนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจวัฒนธรรม เนื่องจากปัจจุบันเด็ก และเยาวชนห่างเหินจากวัฒนธรรม บางคนไม่รู้จักวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมให้เยาวชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ส่วนกรณีที่ รมว.วัฒนธรรม 10 คนที่ผ่านมา ติดโผรัฐมนตรีโลกลืม และไม่มีผลงานนั้น อาจจะจริงบางส่วน เพราะงานวัฒนธรรมเป็นงานนามธรรม ดังนั้น ผลงาน หรือว่าโครงการที่ วธ.ขับเคลื่อนไปจึงไม่สามารถวัดได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนจะทำงานด้านวัฒนธรรมอย่างเต็มที่ โดยคาดว่า วันที่ 15 ส.ค. เวลา 09.00 น. จะเข้าทำงานที่ วธ.เป็นวันแรก
ที่มา เดลินิวส์