“ฟิล์ม” สุดทนปล่อยโฮ ขอโทษ “แอนนี่” และทุกคนที่ทำให้เดือดร้อน จ่อพาพ่อแม่คุยเคลียร์ดาราสาว ส่วนเรื่องตรวจดีเอ็นเอขอปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนจะฟ้องศาลหรือไม่ ปัดพูดให้ข้อมูลไม่ตรงกัน อ้างไม่อยากรื้อฟื้น งดพูดถึง “เสี่ยอู๊ด” สั่งยกบ้านให้ลูก รับเสียใจทำให้แม่ช็อกเข้าโรงพยาบาล วอนขอโอกาสจากสังคม และจะขอ “เฮียฮ้อ” กลับมาทำงานตามเดิม ให้สัญญาจะไม่ทำให้ใครผิดหวังอีก เล็งบวชเร็วๆ นี้ เลิกหนีและพร้อมเปิดใจเคลียร์กระแสข่าวทำดาราสาว “แอนนี่ บรู๊ค” ท้องจนมีลูกชาย “น้องทีฆายุ แก้วไทรหาญ” อีกรอบแล้ว สำหรับนักร้องหนุ่ม “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ที่หลังจากเกิดกระแสข่าวดังกล่าว และเจ้าตัวได้ออกมาเคลียร์ไปแล้ว แต่พอถูก “แอนนี่” สวนกลับด้วยข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ทั้ง “เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” ยังประกาศระงับงานทุกอย่างแบบไม่มีกำหนด จนกว่าจะเคลียร์ตัวเองได้ “ฟิล์ม” ก็เอาแต่เก็บตัวเงียบไม่ออกมาตอบโต้ใดๆ มีเพียงแต่ผู้คนรอบข้างที่เป็นห่วงออกมาให้ข่าวแทน ยิ่งทำให้เรื่องบานปลายไปกันใหญ่
กระทั่งวานนี้ (22 ก.ย.) “นางโคมมนต์ ทองมั่ง” ซึ่งเป็นแม่ของนักร้องหนุ่มได้เกิดอาการช็อกจากคำพูดของ “เจ๊เบียบ” หรือ “นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช” ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทีวีสับลูกชาย เละว่า เป็นคนสำส่อน ชุ่ย มักง่าย ไม่มีความรับผิดชอบ และเห็นผู้หญิงเป็นเครื่องสนองวัตถุทางเพศ “ฟิล์ม” จึงรีบบึ่งรถจากปากช่อง นำแม่ส่งโรงพยาบาล BNH ย่านสาทร และเฝ้าดูแลอาการอย่างใกล้ชิด อีกทั้งในวันเดียวกัน อดีตคนคุ้นเคยอย่าง “เสี่ยอู๊ด สิทธิกร บุญฉิม” ยังร่อนจดหมายจวกนักร้องหนุ่มเห็นแก่ตัวเอาเปรียบ “แอนนี่” พร้อมสั่งให้โอนบ้านที่เคยซื้อให้ยกต่อให้ลูกชายของ “แอนนี่” เพราะความรักและสงสารเด็ก
เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น.วันนี้ (23 ก.ย.) นักร้องหนุ่มจึงนัดสื่อมวลชนมาฟังการแถลงข่าวเปิดใจอีกครั้งที่บริษัทอาร์เอส ย่านลาดพร้าวซ.15 โดย “ฟิล์ม” มาพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียด เผยทนแรงกดดันไม่ไหวเลยต้องออกมาพูด พร้อมร้องไห้กล่าวขอโทษ “แอนนี่”
“จริงๆ ผมไม่อยากออกมาพูดเลย แต่ผมทนแรงกดดันจากสังคมไม่ไหวเลยต้องออกมาพูด ผมใช้เวลาคิดอยู่เป็นอาทิตย์ ซึ่งถ้าผมโดนคนเดียวก็รับได้ เพราะผมได้พูดไปหมดแล้ววันแถลงข่าว แต่ ณ ตอนนี้คนรอบข้างคนที่ผมรักทุกๆ คนโดนหมด คุณแม่ผมต้องเข้าโรงพยาบาล ตอนที่ท่านเข้าท่านก็ยังมีแรงพูดได้อยู่ ท่านไม่ได้เสียใจที่มีข่าวผมไปทำใครท้อง แต่ท่านสงสารผมทั้งถูกตัดงานและถูกต่างๆ นานา นอกจากครอบครัวผมก็ยังทำให้เฮียและซ้อ ที่เปรียบเหมือนพ่อและแม่ผมต้องผิดหวัง แฟนเพลงที่เป็นแฟมิลี่ของผม ผมทำให้เขาต้องร้องไห้กับเหตุการณ์ที่ผมทำขึ้นมา และพี่ๆ ทุกคนที่คอยสนับสนุนและให้โอกาสผมมาตลอด”
“อย่างแรกเลยคือผมกราบขอโทษทุกๆ ท่านที่ทำให้เสียใจ แฟนเพลงที่ทำให้ต้องเสียน้ำตา และทุกคนที่ให้ความหวังกับตัวผม รวมถึงความฝันของผมด้วยที่ฝันมาตลอดว่า อยากเป็นดาราอยากเป็นนักแสดง ผมกลับทำความฝันของตัวเองพังทลายลงไป เพราะความประมาทในชีวิตที่ผมได้ก่อขึ้นมา (น้ำตาไหล) และผมขอโทษแอนนี่ด้วย ที่ทำให้เขาต้องเสียใจ ผมเห็นใจเขามาก ผมรู้เขาน่าสงสารกว่าผมเยอะ ผมยอมรับกับสิ่งที่ผมทำผิดพลาดไปทั้งหมด และยินดีที่จะแก้ไขให้มันดีขึ้น ผมยอมแล้วจริงๆ ครับ ยอมทุกๆ อย่าง จะทำอะไรก็ได้ขอให้มันดีขึ้น จะให้ผมไปพูดจากับเขา หรือเรียกให้ไปตรวจผมยอมทุกอย่าง”
“ผมไม่มีอะไรจะพูด นอกจากผมขอโอกาสกับพี่ๆ สื่อมวลชน แฟนๆ เพลงทุกคน และทุกคนที่มีความรักให้กับผม ขอขอบคุณเฮียกับซ้อและบริษัท พี่ๆ ทีมงานทุกคน ทั้งพี่พจน์ (อานนท์) และทุกคนที่ออกมาพูดเรื่องของผม จากวันนี้สิ่งที่ผมต้องทำ ผมยอมรับกับสิ่งที่ทำไปและสิ่งที่มันเกิดขึ้น แต่ในเรื่องของงานผมก็ขอโอกาสจากทุกคน แล้วผมจะกลับไปขอโอกาสจากเฮีย เพื่อให้ผมได้ทำงานในสิ่งที่ผมรักต่อไป เพราะผมเป็นเสาหลักของครอบครัว ผมต้องเลี้ยงดูทุกคน และต่อไปผมจะไม่ทำให้ใครผิดหวังอีก”
“จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนที่ทำขึ้นมา ต่อจากนี้ผมยอมทุกอย่าง ก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ที่ผ่านมาผมยังไม่ได้คุยอะไรกับเขา ถ้ามีโอกาสผมยินดีที่จะคุย ตอนแรกเรื่องทั้งหมดเกิดจากคนสองคนที่ทำขึ้นมา แต่ตอนนี้มันกลายเป็นมีคนอื่นเข้ามารับรู้ด้วย ถ้าจะคุยกันครั้งนี้ผมอยากให้คุยกันเป็นครั้งสุดท้าย และจบลงด้วยดี เพราะผมเป็นห่วงเด็กมาก”
“ตอนนี้ผมกับแอนนี่ยังไม่มีการโทรติดต่อคุยกัน ณ ตอนนี้ผมอยากทำให้มันดีที่สุดอยู่แล้ว เพราะเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องมารับรู้ปัญหาต่างๆ โดยเป็นสิ่งที่เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ผมก็สงสารมาก ดังนั้นตอนนี้คือทำอะไรได้ผมก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด ผมเห็นเด็กแล้วรักมาก แล้วผมก็ให้ความช่วยเหลือตลอด และจะช่วยเหลือตลอดไป ซึ่งครอบครัวผมก็รับรู้กันหมด เขาอยากอุ้มหลาน แต่เขาก็อยากให้ผมตรวจดีเอ็นเอ ให้ทางผู้ใหญ่มั่นใจและแน่ใจด้วย”
“แต่ถ้าเขาไม่ยอมตรวจ ผมก็ไปบังคับใครไม่ได้ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ผมจะไปฟ้องหรือขออำนาจศาลเพื่อให้เขาตรวจหรือเปล่า ผมยังไม่รู้บทสรุปจะเป็นยังไง ผมก็ขอปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน แต่จะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อถามต่อถึงคำพูดของ “แอนนี่” ที่บอกให้เขาตรวจดีเอ็นเอตอนท้อง 4 เดือน แต่เขาไม่ยอมตรวจ นักร้องหนุ่มชี้แจงประเด็นนี้ว่า
“สิ่งเหล่านี้ผมว่าต่างคนต่างพูดมันก็จะไม่ตรงประเด็น แต่สิ่งที่พูดไปตั้งแต่วันแรก ผมพูดความจริง คือผมบอกว่าใช่เหรอ ใช่ลูกของผมหรือเปล่า ผมอยากให้ตรวจ แต่พอผมพูดไปเขาก็ร้องไห้ เขาเสียใจ ผมก็ปลอบเขาว่าใจเย็น บอกที่พูดไม่ได้ต้องการทำร้ายความรู้สึก แต่ใจผมอยากรู้จริงๆ แต่ผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมพูดเขาก็ร้องออกมา ผมเลยบอกว่าใจเย็น....ตอนนี้เลี้ยงให้ดีที่สุดก่อน คุณเป็นฝ่ายลำบาก ผมไม่ได้เป็นฝ่ายที่ลำบากอยู่แล้ว และผมเห็นใจ สิ่งที่ผมพูดกับเขาก็บอกอย่าคิดมาก อย่าทำร้ายเด็ก พยายามปลอบเขาอยู่ตลอด พอผมบอกเขาอีกว่าผมพร้อมที่จะตรวจๆ เขาก็บอกมาว่าไม่เชื่อใจเหรอ ผมก็ไม่อยากทำร้ายน้ำใจเขาอีกต่อไปแล้ว ผมก็เลยได้แต่ให้ความช่วยเหลือเขามาตลอด (อะไรทำให้เราไม่มั่นใจว่าเป็นลูกของตัวเอง).........(เงียบนาน) ไม่ตอบดีกว่าครับเพราะไม่รู้ แต่อืมม์....ครับ”
“สำหรับครั้งนี้ถ้าการตรวจเป็นทางออกที่ดี ผมก็ยินดีตรวจ เพราะชื่อเสียงที่ผมสร้างมาทั้งหมด มันไม่เท่ากับการทำให้ชื่อเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเสียหาย ผมเห็นใจเขามากจริงๆ ถ้าตรวจแล้วเป็นลูกเราจริง ณ เวลานี้ผมจะดีใจด้วย เพราะผมจะได้ทำหน้าที่พ่อให้ดี ให้สังคมเห็นว่าผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ผมรู้ตั้งแต่วันแรกก็ไม่เคยทอดทิ้ง ผมไม่มีเจตนาอะไรที่จะไปคิดร้าย ผมมีแต่ความจริงใจที่มอบให้”
“ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ตรวจ ที่บอกว่าผมพูดบางคำทำให้เขาเสียใจ แต่ส่วนตัวผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น (ถ้าแอนนี่ไม่ตรวจ จะรับเป็นพ่อโดยที่ไม่ต้องตรวจไหม) ถ้าไม่ตรวจผมก็จะให้การช่วยเหลือแบบนี้ตลอดไป เพราะทำมาตั้งแต่วันที่รู้แล้ว แต่ผมก็ติดใจครับ เพราะทุกคนก็อยากรู้ว่าใช่หรือเปล่า เพื่อที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่าเดิม จะได้ไม่ต้องมารู้สึกไม่สบายใจในสิ่งที่ทำลงไป (พอมีเรื่องเกิดขึ้นยังให้ความช่วยเหลือแอนนี่ตลอด) เปล่าครับ ตั้งแต่มีเรื่องก็ยังเลย”
ต่อข้อซักถามที่ว่าการให้ข้อมูลของทั้งสองฝ่ายไม่ตรงกัน เลยถูกมองไปว่า อาจมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกหก นักร้องหนุ่มเชื่อเป็นการเข้าใจผิดกันมากกว่า
“มันน่าจะเป็นการเข้าใจผิดกัน คงไม่มีใครอยากโกหก แต่ส่วนตัวผมก็จะทำให้ดีที่สุด ณ เวลานี้ สิ่งที่ผมอธิบายไปวันนี้ ก็ไม่อยากไปรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ แล้ว ตอนนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนแล้ว แต่มันเป็นคนทั้งประเทศ และเด็กอีกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยกับเหตุการณ์ที่ก่อขึ้นมา ผมสงสารเด็กมากกว่า แต่ผมก็ยินดีทุกอย่างในการช่วยเหลือเด็กคนนี้”
“ที่เขาบอกว่าไม่อยากทำร้ายผม แต่การที่เขาออกมาพูดแบบนี้ และทำให้ผมถูกแบน ถามว่าทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่รู้จริงๆ ผมก็จะทำหน้าที่ของผมให้ดีกับเรื่องนี้ หลังจากวันนี้ผมกะไม่ได้และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ถ้าผมโทรไปเขาจะรับโทรศัพท์ หรือได้คุยหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมอยากทำให้ดีที่สุดกับทุกฝ่าย ตอนที่ผมมีโอกาสได้คุยกับเขามันนานมากแล้ว ซึ่งคนที่ดูแลเรื่องนี้จะเป็นแม่กับผู้จัดการส่วนตัวตลอด ถึงวันนี้ผมก็ไม่มีโอกาสได้โทรไปเลย ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะติดต่อเขา แต่สิ่งที่ผมพูดไปแล้วคือ ถ้าเราคุยกันสองคนก็ไม่จบอีก มันต้องมีใครสักคนเข้ามาเป็นคนกลาง อาจเป็นพ่อแม่เขา พ่อแม่ผมจะได้จบกันสักที ตัวผมไม่มีอะไรจริงๆ แต่ผมคิดว่าอย่างนั้นน่าจะดีกว่า เพราะถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่จบ ผลกระทบไปตกที่ใครก็ตกที่เด็ก ผมก็อยากให้มันจบเร็วที่สุด ครอบครัวผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมไม่เคยคุยกับอีกฝั่งหนึ่งเลยว่ายังไง แต่จะลองคุย”
ถามถึงเรื่อง “เสี่ยอู๊ด” บอกให้ยกบ้านที่เคยซื้อให้ให้กับลูกชายของ “แอนนี่” นักร้องหนุ่มยันไม่รู้เรื่อง แต่ขอหุบปากไม่พูดอะไรต่ออีก
“ผมก็ไม่รู้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง แต่คิดว่าความจริงก็จะปกป้อง มันก็ต้องดูกันไป ผมไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะมันนอกเหนือจากประเด็นตรงนี้ แค่นี้ผมก็แย่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงสภาพจิตใจในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
“ผมแย่มาก ผมร้องจนไม่มีน้ำตาแล้วครับ ผมก็ไม่คิดว่าชีวิตผมจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน ผมไม่ได้ทำแค่ตัวเอง แต่ผมทำให้ทั้งแฟนๆ เฮีย ซ้อ อันนี้ประเด็นสำคัญหลักเลย เพราะเขาคาดหวังกับผม และผมก็คาดหวังกับตัวเองไว้มากเหมือนกันกับงาน พี่ๆ คงเห็นว่าผมมีความตั้งใจขนาดไหนกับการออกงานแต่ละชิ้น (ร้องไห้โฮ) คือผมไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่ผมถือว่าตัวเองมีโอกาสและอยากทำให้มันดี ผมพยายามทำเป็นแบบอย่างให้น้องๆ เห็น ให้สังคมเห็น ผมพยายามช่วยเหลือสังคม เพราะผมไม่รู้จะเอาอะไรตอบแทนสังคมเท่ากับจิตใจที่ผมมีให้กับทุกคน แต่วันนี้มันเกินที่ผมจะรับไหว ผมคิดว่าผมอยู่คนเดียวแล้วจะหาย แต่ทุกคนกลับไปบีบพ่อแม่ผม ไปบีบผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจกับสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดเพียงคนเดียว”
“ก่อนแม่เข้าโรงพยาบาล แม่อยู่กับผมตลอดเวลา เขาพยายามปลอบใจผมทุกวัน คืนก่อนเขานอนอยู่กับผม พอตื่นเช้ามาก็มาดูข่าวทีวีเขาก็ปลุกผมขึ้นมาดูเร็วๆ แต่พอผมลืมตาดูมันก็จบไปแล้ว แต่แม่ไม่ยอมจบ เขาพะอืดพะอมร้องไห้ออกมา สิ่งที่เขาพูดสงสารที่ผมไม่มีงานทำ ผมก็ปลอบแม่ว่าอย่าคิดมากใจเย็นๆ แต่ผมแย่มากไม่งั้นไม่ออกมาพูดหรอก สำหรับอาการของแม่ตอนนี้ยังไม่รู้เป็นยังไง หมอยังไม่ให้เหตุผลอะไร ตอนนี้แม่ก็ยังไม่ออกจากโรงพยาบาล ผลก็ยังไม่รู้เป็นยังไง แต่ก็ตรวจเลือดตรวจปัสสาวะไปเรียบร้อยแล้ว”
“ถามว่าโกรธใครไหมที่ทำให้แม่เป็นแบบนี้ ผมไม่โกรธใคร ได้แต่โกรธตัวเอง มันก็ได้รับกรรมในสิ่งที่ทำแล้ว คือไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ สิ่งแรกที่ผมคิดมาตลอดคือไม่อยากทำร้ายใคร ผมอยากทำให้มันดีที่สุด ผมพูดครั้งแรกไปแล้วก็คิดว่าจะจบวันนั้น แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น ผมก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร เพราะมันขึ้นอยู่ที่ว่าทางทุกๆ คนเป็นผู้ตัดสินให้กับผมเอง”
เผยช่วงที่หายหน้าไปนั่งวิปัสสนากับครอบครัว บอกถึงมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง ตนก็ยังรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น พร้อมปัดเคยคิดฆ่าตัวตาย
“ช่วงที่หายไปผมก็อยู่กับครอบครัวตลอด นั่งวิปัสสนากรรมฐาน มีเวลาอยู่กับครอบครัวจริงจัง แต่เราอยู่กันแบบความเศร้า เดี๋ยวก็มีสายโทรศัพท์โทรมาทางบ้านยาย ว่ามีพี่ๆ ไปหาคุณยายบ้าง ไปหาคุณพ่อบ้าง ถึงผมจะมีคุณแม่ปลอบใจอยู่ แต่ความรู้สึกลึกๆ ในใจผมเหมือนตายทั้งเป็น เพราะทำให้คนที่ไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ ต้องมาเป็นแบบนี้กับเราด้วย ผมโทรหาเฮีย เฮียก็ไม่ได้นอน โทรหาทุกคน คือเขารักผมหมด เหมือนผมทำสิ่งที่ผิดพลาดไป มันก็เลยรู้สึกว่าแย่มาก”
“ถามว่าผมเคยคิดฆ่าตัวตายไหม ไม่เคยครับ หลังจากไปปฏิบัติธรรมก็ทำให้ผมคิดอะไรได้มากขึ้น อยากบวชมาก ผมเคยมีแพลนจะบวชตั้งแต่เดือน 6 ที่ผ่านมา แต่แล้วก็เลื่อนมาตลอด ตอนนี้ถ้ามีโอกาสก็อยากบวช อาจจะเป็นช่วงนี้ก็ได้ที่จะได้ทำ”
วอนขอโอกาสจากสังคมอีกครั้ง โดยให้สัญญาจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น พร้อมฝากขอโทษ “แอนนี่” บอกเห็นใจและเข้าใจ อยากให้หันหน้ามาคุยกัน
“ผมขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้ และผมก็ปฏิญาณสัญญาไว้เลยว่า จะทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และจะขอโอกาสจากสังคมให้กับผมอีกสักครั้ง ซึ่งก็น่าจะโอเคแล้ว เพราะในฐานะผมตอนนี้แทบจะไม่มีสิทธิ์ขออะไรได้เลย”
“สำหรับแอนนี่ผมอยากบอกขอโทษเขา ผมเห็นใจมากๆ และคิดว่าเขาก็น่าจะความรู้สึกเดียวกัน ถามว่าจะขอให้เขาออกมาตรวจไหม จริงๆ แล้วเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ จะมาจากฝั่งผมฝ่ายเดียวไม่ได้ ตอนนี้เราต้องเห็นใจเขามากๆ ผมก็เห็นใจเขามากๆ เหมือนกัน แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากตัวผมคนเดียวแล้ว มันมีครอบครัวผม ครอบครัวเขา และคนทั้งหมดที่อยากรับรู้อีก แต่สิ่งเหล่านี้มันก็ต้องเป็นเรื่องของคนสองคน เราต้องมาคุยกันมากกว่า”
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์