จุ๊นหักเฮียฮ้อ ปัดคบแอนนี่
วันพุธ ที่ 29 กันยายน 2553
ข่าวฉาวแอนนี่-ฟิล์ม ทำท่าจบไม่ลง หลัง "เฮียฮ้อ" ดับเครื่องชนปูดพฤติกรรมแอนนี่ แฉฝ่ายหญิงคบผู้ชายพร้อมกัน 4 คน ตั้งท้องปั๊บบอกทุกคนว่าเป็นพ่อของลูก ก่อนขอเงิน 2.5 แสนบาท ชี้เหยื่อคือ ฟิล์ม และจุ๊น-กิตติคุณ วอนสื่อช่วยกันหาความจริง ก่อนกลับลำคืนงานให้ฟิล์ม-รัฐภูมิ เหมือนเดิม ด้านดาราสาวโบ้ยยังไม่ทราบเรื่อง เปรยอยากอยู่นิ่ง ๆ ยังไม่พร้อมโต้ “องค์กรสตรี” เดือดประณาม “เฮียฮ้อ” ดูถูกเหยียดหยามเกียรติผู้หญิง ลั่นแอนตี้ผลงานค่ายเพลงทุกชิ้น-ไม่ต้อนรับให้เข้าพื้นที่ ล่าสุด “จุ๊น-กิตติคุณ” ออกโรงปฏิเสธพัลวัน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับแอนนี่ ไม่เคยให้เงิน ไม่มีใครจ้างให้เป็นแพะ ขู่พาดพิงส่งผลถึงอาชีพและครอบครัวเจอฟ้องแน่ กรณีความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนักร้องฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ กับนักแสดงสาวลูกครึ่งแอนนี่ บรู๊ค จนฝ่ายหญิงคลอด ด.ช.ฑีฆายุ มาได้ 3 เดือน ยังคงเป็นข่าวร้อนแรงที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการตรวจดีเอ็นเอเด็กพิสูจน์ให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นลูกของฟิล์มจริงหรือไม่ ล่าสุดฟิล์ม-รัฐภูมิจะเข้าพบเฮียฮ้อ-นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอาร์เอสฯอีกครั้ง เพื่อขอโอกาสทำงานในวงการต่อไป หลังถูกสั่งระงับงานทั้งหมด เบื้องต้นต้นสังกัดกำลังพิจารณาอยู่ โดยจะเปิดแถลงข่าวเรื่องอนาคตของฟิล์มอีกครั้ง ในส่วนแอนนี่อุ้มลูกน้อยไปออกรายการตีสิบ ยืนยันคบหากับฟิล์มคนเดียว เด็กเป็นลูกของฟิล์มแน่นอน โดยจะไม่มีการตรวจดีเอ็นเอแต่อย่างใด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่บริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) ซอยลาดพร้าว 15 ถนนลาดพร้าว เวลา 13.00 น. วันที่ 28 ก.ย. นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส หรือเฮียฮ้อ เปิดแถลงข่าวกรณีเรื่องข่าวฉาวของฟิล์ม แอนนี่ และบ.อาร์เอสฯ 3 ประเด็นหลัก คือ 1.กรณีปัญหาของฟิล์มและแอนนี่ เกี่ยวกับสถาน การณ์และแง่มุมอื่น ๆ 2. อนาคตของฟิล์มที่อาร์เอสฯตัดสินใจแล้ว 3. กรณีของแอนนี่ โดยมีกองทัพสื่อมวลชนเดินทางมาทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก
เฮียฮ้อ กล่าวเปิดประเด็นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “กรณีของฟิล์มและแอนนี่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก สื่อให้พื้นที่มากเกินไปถึงจะเป็นเรื่องของคน 2 คน แต่ฟิล์มและ แอนนี่เป็นคนของประชาชน มันก้าวข้ามเรื่องส่วนตัว และเป็นประเด็นที่สังคม สื่อมวลชนควรที่จะเกาะติด เพราะกรณีของฟิล์มและ แอนนี่มีผลถึงภาพลักษณ์และจริยธรรม ที่สำคัญมีผลต่อภาพลักษณ์ของวงการบันเทิง สื่อต้องช่วยกันดูแล และมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขึ้นเฮียได้ช่วยจัด การปัญหาด้วยความอดทน ระมัดระวัง ใช้เหตุผล และที่สำคัญอย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผลและความถูกต้อง”
บอสใหญ่อาร์เอสฯ กล่าวต่อว่า “ความจริงจะปกป้องทุกคน ยืนยันว่าเรื่องนี้จะจบอยู่ในกรอบ แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใน ฐานะผู้ดูแลฟิล์ม อาร์เอสฯเองคงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ตลอดเวลากว่า 10 วันที่เป็นข่าวมานั้น สิ่งแรกที่เฮียบอกอยู่เสมอคือ ลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ เฮียเชื่อว่าฟิล์มพูดความจริง แต่อาจจะพูดไม่หมด ในส่วนของเฮียไม่สนใจข้อมูลฟิล์มและแอนนี่มาก แต่เฮียจะหาข้อมูลเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ ยืนยันไม่ได้ เฮียจะตัดทิ้ง”
นายสุรชัย กล่าวอีกว่า “เฮียมีข้อมูล 1 ปี ที่แอนนี่คบกับเพื่อนชายจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.-ธ.ค. ปีที่ผ่านมา แอนนี่ได้พูดในลักษณะเดียวกัน แบบเดียวกัน กับผู้ชาย 4 คน ว่าเป็นพ่อของลูก และได้ขอเงินจำนวนสองแสนห้าหมื่นบาท ซึ่ง 2 ใน 4 คน ก็คือ ฟิล์ม-รัฐภูมิ และ จุ๊น-กิตติคุณ ซึ่งถ้ามองผู้ชายในแง่ของจริยธรรมเป็นเรื่องที่ผิด แต่มองอีกมุมหนึ่งก็น่าสงสารมาก โดยกรณีจุ๊นนั้น ได้รับการยืนยันจากผู้บริหารทางช่อง 3 ว่าจุ๊นได้มาเล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง ซึ่งเฮียว่าฟิล์มและจุ๊นคือเหยื่อของการกระทำครั้งนี้ ในครั้งนั้นจุ๊นตกใจมาก และแก้ปัญหาในทางคล้าย ๆ กัน แต่เป็นการแก้ปัญหาในทางที่ผิด โดยจุ๊นให้ความช่วยเหลือเป็นเงินจำนวน 2 แสนกว่าบาท และหนีไปต่างประเทศ ซึ่งผมว่าข้อมูลทั้งหมดสะท้อนพฤติกรรม แต่อีก 2 คน ต้องรอให้พร้อมเปิดเผยตัว ซึ่งมีความซับซ้อน ผมอยากวอนให้สื่อมวลชนช่วยกันหาความจริง อย่าปล่อยไว้แบบนี้” ทั้งนี้ประเด็นที่เฮียฮ้อนำพฤติกรรมของนักแสดงสาวมาเปิดเผยในการแถลงข่าวครั้งนี้ทำเอาบรรดาสื่อมวลชนถึงกับฮือฮา
ถามเรื่องอนาคตงานของฟิล์ม เฮียฮ้อ กล่าวว่า “จะคืนโอกาสเรื่องงานให้ แต่มีเงื่อนไข โดยต้องดูว่างานบางชิ้นที่ยกเลิกไปแล้ว แต่งานบางชิ้นก็สามารถทำต่อได้ โดยตัวฟิล์มต้องยอมรับในเงื่อนไข ซึ่งประเมินความเสียหายอยู่ที่ประมาณ 5-6 ล้านบาท โดยเป็นงานโชว์ทั้งหมดของเดือน ก.ย.-กลางต.ค.นี้ และงานพรีเซ็นเตอร์ประมาณ 3 ตัวที่เสียหายทันที ส่วนเรื่องหนังบางกอกกังฟู น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคิวดาราคนอื่น ๆ ที่ค่อนข้างยุ่ง ส่วนงานกับทางเกาหลีนั้น ทีมงานได้ประสานงานอยู่ตลอด ซึ่งทางเกาหลียังไม่ได้ตัดสินใจอะไร เพราะเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ซึ่งเขาก็ไม่ได้กังวลอะไรกับปัญหานี้”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์ เอสฯ กล่าวฝากถึงแอนนี่ด้วยว่า “แอนนี่ควรจะหยุดพฤติกรรมได้แล้ว สารภาพและพูดความจริง แม้จะสายไป แต่มีโอกาสแก้ไขได้ เชื่อว่าสังคมต้องให้อภัย เรื่องนี้มีเด็กเกิดขึ้น อย่าทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้ที่เด็ก ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่มีใครหนีความจริงไปได้ ควรจะ จบ ๆ ได้แล้ว คนที่ท้าทายความจริงหนีไม่พ้นสักราย เพราะข่าวนี้กินพื้นที่มาหลายวันแล้ว ควรจะจบได้แล้ว” ถามว่า กลัวแอนนี่ฟ้องหรือไม่ เฮียฮ้อ ตอบว่า “พูดแต่ในเรื่องที่มีการยืนยันได้ ซึ่งจุ๊นเองก็ยืนยันกับทางช่อง 3 แล้วว่าเป็นเรื่องจริง”
ถามต่อว่า การตรวจดีเอ็นเอ จำเป็นหรือไม่ และกลัวมีการแทรกแซงเปลี่ยนแปลงผลหรือไม่ นายสุรชัย ตอบว่า “จริง ๆ มีความจำเป็น เป็นความจำเป็นของแอนนี่ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ซึ่งถ้าเป็นลูกของฟิล์ม เขาก็พร้อมจะยอมรับอย่างที่เคยพูดไป ซึ่งทางอาร์เอสฯไม่ได้มีการประสานงานกับทางแอนนี่ในการตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากเป็นเรื่องของทางครอบครัวฟิล์ม ส่วนกรณีของการเปลี่ยนแปลงผลการตรวจนั้นเป็นไปไม่ได้” ถามว่าจะมีมาตรการอะไรกับฟิล์มและแอนนี่หรือไม่ เฮียฮ้อ ตอบว่า “เฮียได้ให้แนวทางว่าฟิล์มต้องติดต่อกับแอนนี่ ซึ่งฟิล์มก็ติดต่อแอนนี่ไปแล้ว การโทรศัพท์ทุกครั้งมันมีหลักฐานหมด พูดอะไรสามารถตรวจสอบได้ ส่วนกรณีทำไมฟิล์มถึงไม่ไปเคลียร์กับแอนนี่ที่รายการตีสิบนั้น เฮียแนะนำว่าไม่ควรไปดักเจอ เพราะการไปเจอแบบนั้นไม่เหมาะ อย่างที่ทราบแอนนี่บอกชัดเจนแล้วว่าถ้าฟิล์มไป แอนนี่ก็ไม่ไป”
“เฮียอยากฝากทิ้งท้ายถึงกฎเหล็กของอาร์เอสฯว่า การทำงานกับอาร์เอสฯ กฎที่สำคัญคือ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด และห้ามทิ้งงาน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นไม่สามารถร่วมงานกับอาร์เอสฯได้แน่นอน เฮียก็รู้ว่าศิลปินวัยรุ่นมีชีวิตอิสระ แต่ถ้าอยู่ในกรอบก็โอเค แต่ถ้าหลุดไปบ้างก็คงต้องเรียกมาตักเตือน”
ส่วนบรรยากาศที่อาคารบ้านสวนธน คอนโดฯ รัชดาฯ 36 แยก 9 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากแอนนี่เดินทางกลับจากอัดรายการตีสิบ จนถึงขณะนี้ยังคงเก็บตัวเงียบ อยู่ภายในห้องพักกับลูกน้อย อย่างไรก็ตามหลัง “เฮียฮ้อ” แถลงข่าวเสร็จผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์สอบถามเรื่องดังกล่าวกับแอนนี่กรณีดาราหนุ่ม จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข จะนำหลักฐานเป็นใบเสร็จในการโอนเงินจำนวน 250,000 บาท เข้าบัญชีดาราสาว รวมทั้งจะนำหลักฐานการเดินทางไปต่างประเทศออกมายืนยัน โดยแอนนี่ตอบสั้นว่า ๆ ตนไม่ทราบว่ามีเรื่องทำนองนี้ และไม่ทราบว่าทางเฮียฮ้อแถลงอะไรไปบ้าง เพราะไม่ได้ดูข่าวตอนแถลง ตอนนี้ขออยู่ดูแลลูกตามลำพัง เนื่องจากน้องงอแงมาก อยากอยู่นิ่ง ๆ ยังไม่พร้อมที่จะพูดอะไรทั้งสิ้น
ด้านอาคารมาลีนนท์ ผู้สื่อข่าวราย งานว่า หลังเฮียฮ้อเปิดแถลงข่าวว่าได้รับการยืนยันจากผู้บริหารทางช่อง 3 ว่าจุ๊น-กิตติคุณ ได้มาเล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้ว ปรากฏว่าทางผู้บริหารช่อง 3 ได้หารือกันอย่างเคร่งเครียด เบื้องต้นประชาสัมพันธ์ระบุว่า ทางผู้บริหารยังไม่พร้อมที่ จะให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว อยู่ระหว่างประชุมหารือเรื่องที่เกิดขึ้น หากจะมีการแถลงข่าวจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ที่สยามพารากอน ค่ำวันเดียวกัน จุ๊น-กิตติคุณ เดินทางมาเปิดตัวสินค้าชนิดหนึ่ง พร้อม ผจก.ส่วนตัว ก่อนจะให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ได้ยินข่าวแรก ๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่นับวันยิ่งหนักขึ้น บางกระแสระบุว่าตนหนีไปอเมริกา ส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้จักกับแอนนี่เป็นการส่วนตัว ไม่ได้สนิทสนมกันเลย เคยเจอนานมากแล้ว ที่ออกมาพูด เนื่องจากอยากให้ข่าวเงียบลง เนื่องจากฝ่ายหญิงเสียหายมามากแล้ว รู้สึกสงสารแอนนี่กับลูกชายเขามาก ถามว่ารู้สึกอย่างไรกรณีเฮียฮ้อ ออกมาพูดพาดพิง ตอบว่า “ผมเป็นเด็ก ไม่ได้โกรธอะไร เคารพผู้ใหญ่ทุกคน ไม่อยากจะไปพาดพิงถึงบุคคลที่สาม อยากจะชี้แจงในส่วนผมกับแอนนี่เท่านั้น”
ถามต่อว่า กระแสข่าวว่าแอนนี่ให้จ่ายเงิน 250,000 บาท เพื่อเป็นพ่อเด็ก จุ๊นตอบว่า “เป็นเรื่องไม่จริง สมมุติมีคนมาจ้างให้รับเป็นพ่อเด็กใครที่ไหนเขาจะยอม ส่วนเรื่องมีคนจ้างให้มาเป็นแพะรับบาปด้วยเงิน 10 ล้านบาทนั้น ประเด็นนี้ก็ไม่มีแน่นอน เงินซื้อผมไม่ได้ ยังไงความจริงต้องเป็นความจริง ส่วนกระแสว่าจะรับเป็นพ่อเด็กก็ไม่มีเช่นกัน” ถามว่ากล้าตรวจดีเอ็นเอหรือไม่ ดาราหนุ่มตอบว่า “กล้าผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับแอนนี่ ในมุมกลับกันเมื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแล้วทำไมผมต้องตรวจ เรื่องที่เกิดขึ้นทางผู้ใหญ่ทางช่อง 3 ก็ได้เรียกไปคุยบ้าง ถามว่าจะฟ้องกรณีถูกพาดพิงหรือไม่ จุ๊น ตอบว่า มันก็ขึ้นอยู่กับว่าถูกพาดพิงขนาดไหน ส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด ถ้าส่งผลต่ออาชีพและครอบครัวก็คงต้องฟ้อง ส่วนที่มีคนบอกว่าเด็กหน้าเหมือนผม ผมยังไม่เคยเห็นหน้าน้องเขาเลย”
สำหรับประวัติ จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข นักแสดงหนุ่มสังกัดพาวเวอร์ทีม ไทยทีวีสีช่อง 3 เกิดเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ปี 2528 ผ่านงานในวงการมาแล้วมากมาย อาทิ เล่น มิวสิกวิดีโอ แสดงภาพยนตร์ “เดอะกิ๊ก” รวมถึงเล่นละคร เช่น ขบวนการ ปิ๊ด ปี้ ปิ๊ด, กุหลาบตัดเพชร, สวัสดีคุณครู, หุบเขากินคน, หาบของแม่ เป็นต้น
ที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี จ.ชุมพร นางปทุมพร ทองภูเบศร์ หัวหน้าศูนย์ฯ กล่าวถึงกรณีที่ “เฮียฮ้อ” ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าแอนนี่มีพฤติกรรมคบกับผู้ชายหลายคน ในเวลาเดียวกัน โดยหนึ่งในนั้น คือฟิล์ม อีกทั้งการข่มขู่เรียกเงินว่า “การพูดดังกล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามเกียรติของผู้หญิงมากที่สุดเท่าที่เคยพบมา คำพูดดังกล่าว ส่อหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่กฎหมายห้ามไม่ให้พิสูจน์ข้อเท็จจริง เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่กฎหมายห้ามไม่ให้นำไปพูดต่อบุคคลที่สาม หรือที่สาธารณะ ยิ่งการพูดผ่านสื่อมวลชน และนำไปโฆษณาเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ ยิ่งเป็นความผิดที่ต้องรับโทษหนักขึ้นและถ้าเป็นความจริงก็ ยิ่งมีความผิดมากขึ้น นั้นคือประเด็นในข้อกฎหมาย”
หัวหน้าศูนย์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นทางจริยธรรม ผู้พูดถือว่าเป็นผู้มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแสดง หรือนักร้อง ที่จะต้องมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อประชาชน โดยเฉพาะ เยาวชนของชาติ เป็นตัวอย่างที่ถูกต้องของเด็ก ๆ ดังนั้นการแถลงดังกล่าว ถือว่าไม่เหมาะสม เหยียดหยามดูหมิ่นเพศหญิง ต้องการเพียงรักษาผลประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้น ดังนั้นเราเรียกร้องให้มีการต่อต้านผลงานของศิลปินสังกัดค่ายดังกล่าวทั้งหมด โดยเฉพาะนักร้องนักแสดง ที่กำลังเป็นข่าว จะรณรงค์ไม่ให้ซื้อ หรือบริโภคผลงานอีกต่อไปแม้แต่ชิ้นเดียว รวมถึงไม่ต้อนรับเข้าสู่ จ.ชุมพร ด้วย ต้องบอกว่าพวกตนเพิ่งเดินทางกลับมาจากการไปเยี่ยมแอนนี่ที่กรุงเทพฯ เมื่อมาถึงชุมพรกลับได้ยินคำแถลงดังกล่าว ก็คงต้องไปให้กำลังใจแก่แอนนี่อีกครั้ง รวมถึงถ้าต้องการทนายความก็จะจัดหาให้ด้วย
ด้าน จ.ลำปาง ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถามนางจันทร์คำ มีเลข แม่ดาราสาวกรณีที่ “เฮียฮ้อ” ออกมาเปิดโปงถึงเรื่องความประพฤติของแอนนี่ โดยนางจันทร์คำ กล่าวว่า ตนไม่ได้ดู ส่วนเรื่องแอนนี่จะคบใครตนไม่ทราบ ไม่เคยถาม รู้เพียงว่าแอนนี่ เป็นคนชอบเก็บตัวไม่มั่วกับใคร เวลากลับมาบ้านก็ไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในบ้าน ยืนยันว่าลูกสาวไม่มีคนอื่น มีเพียงฟิล์มคนเดียว หากลูกสาวจะมีคนอื่นคงมีไปนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่เรียนหนังสือแต่ก็ไม่มี ตนไม่อยากพูดถึงเพราะใครจะดีหรือไม่ดีสังคมก็จะรู้ได้เอง ในฐานะแม่ก็ย่อมรักและเป็นห่วงอยากปกป้องลูก แต่การปกป้องคงไม่ใช่ การออกมาพูดแบบไร้สาระ และเป็นเรื่องส่วนตัว.
ที่มา dailynews