เอเอเอสเล่นแรงไล่ทุบเกรย์มาร์เก็ต เพิ่มวารันตีจาก2เป็น9ปีเร่งขยายศูนย์บริการหัวเมือง
"เอเอเอส" ลั่นไม่สนเกรย์มาร์เก็ตนำรถเข้ามาทำตลาด หลังเชื่อลูกค้าให้ความไว้วางใจในบริการหลังการขาย และโนว์ฮาวคนละชั้น เผยเตรียมปัดฝุ่นโครงการขยายโชว์รูมศูนย์บริการออกต่างจังหวัด คาดปีนี้ขาย 70-80 คัน นายวินธร บุนนาค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงรูปแบบการทำตลาดรถยนต์ปอร์เช่ในปัจจุบันว่า ได้มีผู้นำเข้าอิสระนำรถปอร์เช่เข้ามาทำตลาดเป็นจำนวนค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำตลาดของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่มกันอย่างชัดเจน
แม้ว่าเกรย์มาร์เก็ตจะได้เปรียบในแง่ของราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าถึง 20% เป็นอย่างน้อย แต่จากคุณภาพมาตรฐานการให้บริการของบริษัทได้ตรงตามมาตรฐานของปอร์เช่ นอกจากนี้ บริษัทให้การรับประกันหลังการขาย จากเดิมโรงงานให้ 2 ปี แต่บริษัทเพิ่มให้กับลูกค้าเป็น 9 ปี รวมทั้งการบำรุงรักษาฟรีตลอดระยะเวลา 4 ปี รวมถึงการอัพเดตโปรแกรมซ่อมบำรุง เทคโนโลยีต่าง ๆ บริษัทก็ต้องมีการพัฒนาและ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องทุก 2 เดือน
ขณะที่ผู้ประกอบการเกรย์มาร์เก็ตนั้น แม้ว่าได้เปรียบในแง่ของราคาจำหน่ายที่ ถูกกว่า แต่สเป็กของรถยนต์ที่นำเข้ามาจำหน่ายนั้น อาจจะไม่ใช่รถยนต์ที่ถูกผลิตมาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในประเทศไทย ซึ่งหากรถมีปัญหา อาจจะทำให้ลูกค้าเกิดความยุ่งยากในเรื่องของการรับประกัน รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่อาจจะไม่ได้มีการปรับปรุงอัพเดตให้ทันสมัยโดยตรงกับบริษัทแม่
"อย่างรถยนต์ที่เรานำเข้ามา สเป็กทุกอย่างจะได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพของเมืองไทย ขณะที่รถเกรย์มาร์เก็ต นำเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นสเป็กเมืองนอก ซึ่งปัญหาหลักที่พบจะอยู่ที่การจูนกล่อง และน้ำมันที่ใช้ คือรองรับได้แค่น้ำมันที่มีออกเทน 95 เท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพน้ำมันบ้านเรา แต่วันนี้ เราก็ยังเปิดกว้างให้ลูกค้าที่ซื้อรถจากที่อื่นเข้ามาใช้บริการหลังการขายได้ด้วย แต่เราก็ต้องชี้แจงว่า เราจำเป็นต้องดูแลตามสภาพการใช้งานด้วย"
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาว่า มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 70-80 คัน แต่ขณะนี้มียอดขายและส่งมอบรถยนต์ไปแล้ว 36 คัน และมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าอีก 10 คัน ประกอบกับในช่วงไตรมาสที่ 3 จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นนอน
แบ่งสัดส่วนการขายเป็นบ๊อซเตอร์และเคแมน คิดเป็น 30% ของยอดขาย สปอร์ต 911 คิดเป็น 40% ของยอดขาย สำหรับ รถรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาดนั้น มีทั้ง รถสปอร์ต อย่างจีที 2 อาร์เอส, 911 สปอร์ต เทอร์โบ เอส, คาเยน และพานาเมร่า วี 6 ซึ่งเราจะทยอยนำเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดขายนั้น คาดว่าจะไม่เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากโควตาที่บริษัท ได้รับในปีนี้มีจำนวนจำกัด ประกอบกับความต้องการรถยนต์ปอร์เช่ในตลาดโลกมีค่อนข้างสูงในขณะนี้
"รุ่น 911 สปอร์ต คลาสสิก ที่ทั่วโลกผลิตมีแค่ 250 คันนั้น เมื่อเปิดตัวในตลาดโลกไม่ถึง 2 อาทิตย์ รถก็หมด โดยเราได้โควตามา 3 คัน ซึ่งก็มีลูกค้าซื้อไปหมดแล้วเช่นกัน" นายวินธรกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการรื้อแผนการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการออก ไปตามจังหวัดหัวเมืองอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต กลับมาพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากทั้ง 2 จังหวัดถือเป็นพื้นที่มีศักยภาพ มีกำลัง ซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติ ส่วนรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเป็นเมื่อใด
และต้องยอมรับว่า วันนี้ ในส่วนของกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ยังคงมีคำถามค่อนข้างมาก ในเรื่องของราคาจำหน่าย รถปอร์เช่ในประเทศไทยกับต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างกันค่อนข้างมาก เนื่องจากรถที่เรานำเข้ามาต้องจ่ายภาษีสูงถึง 328% ซึ่งมีลูกค้าบางกลุ่มยังไม่เข้าใจ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ