วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฮิตาโนะ โทโมมิ ศิลปินเดี่ยวจากเอเคบี 48

กลายเป็นสมาชิกคนแรกของเอเคบี48 วงดังแห่งญี่ปุ่น ที่ออกอัลบั้มเดี่ยวในชื่อซิงเกิ้ล “เดียร์ เจ” ซึ่งวางแผงแล้วในขณะนี้ และยอดขายซิงเกิ้ลสูงติดอันดับศิลปินหญิงเดี่ยว หลังอุทาดะ ฮิคารุ ทำไว้ โดยชาร์ตโอริคอนซิงเกิ้ลรายสัปดาห์ “เดียร์ เจ” มียอดขายประมาณ 163,000 ชุด หลังออกวางจำหน่ายเมื่อปลายเดือนที่แล้ว และเป็นอันดับ 1 ในชาร์ต จนกระทั่งดงบันชินกิ วงดังของเกาหลีออกผลงานเพลงซิงเกิ้ลชุดใหม่ อิตาโนะ โทโมมิ จึงหล่นไปอยู่อันดับ 2

อย่างไรก็ดี โทโมมิ ก็ยังนับเป็นนักร้องสาวคนแรกที่ทำยอดขายทะลุ 150,000 ชุด ต่อจากอุทาดะ ฮิคารุ เคยทำไว้ในซิงเกิ้ล เฟลเวอร์ ออฟ ไลฟ์ เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว โทโมมิ กล่าวว่า นี่เป็นความรู้สึกใหม่ที่เธอไม่เคยมีมาก่อน หลังจากเคยทำงานกับสมาชิกในวงเอเคบี 48 มาตลอด พร้อมกับอธิบายว่า อัลบั้มใหม่เป็นเพลงแนวแดนซ์ ซอง และการออกอัลบั้มเดี่ยวถือเป็นความฝันของเธอเลยทีเดียวโทโมมิ ซึ่งเป็นทั้งดารานักแสดงและนักร้อง เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมปี 2534 ที่เมืองซูไอตะ ในจังหวัดโอซากา และย้ายไปอยู่ในจังหวัดคานางาวะ เมื่อตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ปัจจุบันสูง 150 เซนติเมตร และเข้าสู่วงการบันเทิงเมื่อปี 2548 โดยเป็นสมาชิกของวงเอเคบี48 ก่อนที่จะออกมาทำเพลงในอัลบั้มเดี่ยว นอกจากนี้ เธอมีผลงานการแสดงเรื่องเดนเซน อูตะ, ไอ ริวสึ เซ็นเตอร์ และคาเมน ไรเดอร์ ดับเบิล : บีกินส์ ไนท์

หลังจากเปิดตัวผลงานเพลงซิงเกิ้ลเดี่ยวเป็นคนแรกของกลุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอยังได้เผยเสน่ห์แฟชั่นผ่านทางนิตยสาร “ยัง แมกกาซีน” ซึ่งผลงานเพลงเดียร์ เจ ส่งผลให้เธอได้รับการตอบรับอย่างร้อนแรง เพราะเหตุนี้ โทโมมิ จึงตัดสินใจถ่ายแฟชั่น ภาพถ่ายที่ผสมผสานความทันสมัยและความน่ารักบวกกับเสื้อผ้าที่รัดรูปเผยให้เห็นถึงความเซ็กซี่ โดยเฉพาะโทโมมิเป็นสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ส่งผลให้ภาพที่ออกมามีความสมจริงและเข้าถึงอารมณ์เป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ เมื่อปลายปีที่แล้ว โทโมมิ ยังคว้ารางวัลชุดแต่งงานญี่ปุ่นยอดเยี่ยม และชุดแต่งงานนี้ยังประดับเครื่องเพชรอันงดงาม โดยเฉพาะมีมูลค่าสูงถึง 700 ล้านเยนหรือกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งโทโมมิกล่าวทิ้งท้ายว่า เธออยากแต่งงานตอนอายุ 30 ปี และถ้าเป็นไปได้จะจัดแต่งงานที่เกาะฮาวายด้วย ส่วนเอเคบี 48 ก็ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ให้เป็นวงดนตรีป๊อปที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดในโลก มากกว่า 48 คน ซึ่งเชื่อได้เลยว่า สถิตินี้คงอยู่ยาวไปอีกนานแสนนาน

วิษณุ ศิริอาชารุ่งโรจน์
ที่มา เดลินิวส์

'ป้อง-นุ่น' ประชันดราม่าครบรส ในละครค่าของคน

ได้ฤกษ์ลงจอไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับละครดราม่าสุดเข้มข้นเรื่อง “ค่าของคน” ผลงานของ ค่ายเอ็กแซ็กท์ ที่รับทำหน้าที่ผลิตให้กับ ช่อง 7 แถมยังได้พระ-นางมากระดับฝีมืออย่าง ป้อง-ณวัฒน์ และ นุ่น-
วรนุช มาประชันบทบาทกันเป็นครั้งแรก ร่วมด้วย น้ำ-รพีภัทร เอกพันธ์กุล, ฟาง-พิชญา เชาวลิต, โอ-อนุชิต สพันธุ์พงษ์, ไอซ์-อภิษฎา เครือคงคา เป็นต้น

สำหรับ “ค่าของคน” หยิบมาจากบทประพันธ์ของ โรสลาเรน เขียนบทโทรทัศน์โดย ศิริลักษณ์, ตุณย์ และ ศกุนกานต์ จากฝีมือกำกับการแสดงของ บรรเจิด พุทธโศภิษฐ์

งานนี้แฟนละครอยากรู้แล้วสินะ ว่าคู่นี้มาเล่นด้วยกันครั้งแรกจะเป็นอย่างไร ตามไปฟัง หนุ่มป้อง กันเลย “รับบท “ลักษมณ์” ครับ คาแรกเตอร์ของผมจะเป็นเพลย์บอย เชิดหยิ่ง ชอบดูถูกคน แต่จริง ๆ แล้วจิตใจดีและรักครอบครัวมาก พอวันนึงน้ำน้องชายเราไปรักกับนางเอก นุ่น ที่เราเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะเค้าเป็นแค่นางรำ ผมในฐานะพี่ชายต้องขัดขวางเต็มที่ แต่สุดท้ายเรากลับไปตกหลุมรักนุ่นซะเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกันด้วย ผมเองเคยเห็นฝีมือการแสดงของเขามาเยอะ ก็ชื่นชมอยู่ในใจ พอได้มาร่วมงานด้วยกันก็ยิ่งทึ่งในความสามารถของเขา ต้องยกให้เป็นนักแสดงฝีมือขั้นเทพเลยครับ เพราะทั้งบททั้งคิวนุ่นจะแม่นมาก ทำให้เราต้องเตรียมตัวทำการบ้านมาอย่างดีเป็นพิเศษ พอมาเล่นด้วยกันแล้วก็เข้าขากันได้ดีครับ ทั้งจังหวะและการรับส่งอารมณ์ ทำให้การทำงานในครั้งนี้สนุกครับ”

ฟาก สาวนุ่น เผยว่า “เรื่องนี้เป็น “คุณกล้วย” หรือ“รจเรข” ค่ะ บทบาทที่ได้รับจะเป็นดราม่าทั้งเรื่อง มีซีนอารมณ์ที่ต้องปะทะกับพี่ป้องและร้องไห้เยอะมาก เรียกได้ว่าครบทุกรส ถึงนุ่นจะผ่านบทบาทแบบนี้มาเยอะ แต่พยายามทำความเข้าใจตัวละครและเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ ในเรื่องมีฉากรำฉุยฉายพราหมณ์ด้วย ซึ่งไม่ได้รำมานานมากแล้ว มีการไปรื้อฟื้นกับอาจารย์ก่อนที่จะมาเข้าฉาก อยากให้ผลงานออกมาดีที่สุด เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับเอ็กแซ็กท์ด้วย ตัวนุ่นติดตามผลงานของเอ็กแซ็กท์มาตลอด และอยากมีโอกาสมาร่วมงานด้วยสักครั้ง พอได้มาทำงานด้วยแล้วก็ประทับใจมากค่ะ ทุกคนในกองเป็นกันเองมาก บรรยากาศในกองเลยสนุกสนานด้วยค่ะ”

ในส่วนการทำงานในกองถ่ายต้องมาฟังผู้กำกับเล่า หลังจากฝึกปรือเป็นผู้ช่วยผู้กำกับละครให้ค่ายเอ็กแซ็กท์มาหลายต่อหลายเรื่อง อาทิ ร้อยเล่ห์เสน่ห์ร้าย, ความลับของซูเปอร์สตาร์, ดอกรักริมทาง จนผู้ใหญ่ เอ็กแซ็กท์ ไว้วางใจมอบละคร “ค่าของคน” ให้ ตั้ม-บรรเจิด โชว์ฝีมือกำกับเป็นเรื่องแรก “ค่าของคนเป็นละครดราม่าเข้มข้น ที่สร้างจากบทประพันธ์อมตะ ซึ่งเนื้อหานั้นสามารถเข้าได้กับทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะสังคมปัจจุบันที่มีความเป็นวัตถุนิยมสูง ทำให้ผู้ชมได้รู้ว่าเงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง สิ่งที่สำคัญคือคุณค่าในจิตใจของคนมากกว่า ผมเองทราบว่าค่าของคนถูกสร้างมาเป็นละครหลายครั้งและประสบความสำเร็จมาก เลยแอบเกร็งว่าครั้งนี้จะทำได้ถูกใจแฟน ๆ หรือเปล่า? แต่พอได้มาลงมือกำกับจริงก็สนุกมากครับ และโชคดีที่ผมได้นักแสดงมืออาชีพมากความสามารถมาร่วมงาน โดยเฉพาะคู่พระ-นาง ป้อง-นุ่น ซึ่งทั้งคู่ถึงจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่เล่นได้เข้าขากันมาก สามารถถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาได้ดี ก็อยากฝากผลงานการกำกับละครเรื่องแรกของผมด้วย ซึ่งตัวผมและทีมงานตั้งใจกันมาก อยากฝากให้ลองชมกันดูนะครับ”

ติดตามชมความสนุกแบบเข้มข้นได้ในละคร “ค่าของคน” ทุกคืนวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7 สี…
อ่านละครล่าสุด ที่นี่
ที่มา เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไกล่เกลี่ยคดีฟ้อง "เปิ้ล-นาคร" ไม่จบ

ไกล่เกลี่ยคดีฟ้อง "เปิ้ล-นาคร" หมิ่นฯ ไม่จบ นัดอีกครั้งวันที่ 4 เดือนหน้า

วันนี้ (25 ก.พ.) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลได้นัดไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทในคดีที่นายพายุหรือพรรณธฤต เนื่องจำนงค์ หนุ่มไฮโซชื่อดัง ลูกชายนางสุนัทที เนื่องจำนงค์ นักธุรกิจพันล้านเจ้าของโครงการไพร์ม เนเจอร์ กรุ๊ป ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อต้นปี 53 เป็นโจทก์ฟ้องเปิ้ล-นาคร ศิลาชัย พิธีกรชื่อดังรายการ ฮาจะเกร็ง นั่งยางโชว์ และสาระแนโชว์ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

สืบเนื่องจากเมื่อเดือน มี.ค.53 พิธีกรหนุ่มให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่า โจทก์เบิกความเท็จต่อศาลแพ่ง ในคดีที่จำเลยถูกน้องสาวโจทก์ฟ้องร้องให้ชำระค่าเฟอร์นิเจอร์ มูลค่า 4 แสนบาท และกล่าวหาว่า โจทก์ยังติดค้างค่าสนับสนุนทีมเจ็ทสกีของจำเลย

โดยวันนี้คู่ความทั้งสองฝ่ายเดินทางมาศาลเพื่อไกล่เกลี่ยในเรื่องค่าเสียหาย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ในรายละเอียด ศาลจึงให้คู่ความไปตกลงกันนอกรอบ และนัดไกล่เกลี่ยอีกครั้งในวันที่ 4 มี.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งหากยังไม่สามารถตกลง ก็จะนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลและกำหนดวันสืบพยานต่อไป.
ที่มา เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

'แพนเค้ก' เปล่าตามเฝ้า 'เป้'

ไม่ออกความเห็น 'เวียร์' จีบ 'ขวัญ'

เพิ่งจะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีอะไรกัน แต่จู่ ๆ ก็มีคนไปเห็นนางเอกสาว แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ นั่งเฝ้าพระเอกหนุ่ม เป้-อารักษ์ อมรศุภสิริ ในงาน ๆ หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีคนตาดีเห็น เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ เดินชอปปิงกับแพนเค้กที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ด้วย ตกลงคู่นี้จะรีเทิร์นกันจริงหรือไม่ต้องไปฟังคำตอบจากปากแพนเค้กกันเอง

แพนเค้ก กล่าวว่า “จริง ๆ ไปเป็นพิธีกรภาคสนามว่าเขาไปรวมตัวกันได้อย่างไร เพลงเป็นยังไงบ้างเท่านั้นเอง” แต่มีข่าวว่าแพนเค้กไปตามเฝ้าไปเซอร์ไพร้ส์? “ก็เป็นวิธีการทำงานมากกว่าที่จะทำให้คนสนใจ ทำให้คนติดตาม” ...เป็นแผนโปรโมตแบรนด์มั้ย... “เป็นวิธีการทำงานดีกว่า แพนก็ทำงานของแพนให้เสร็จเรียบร้อย” ไม่กลัวเป็นเครื่องมือแอนด์พีอาร์เหรอ? “ไม่ค่ะ เพราะแพนทำงานในส่วนของแพนเรียบร้อย” ...มีการพูดคุยกันก่อนมั้ยว่าจะไปเจอ... “ก็ต้องนัดกันก่อนอยู่แล้ว ต้องดูว่าไปสัมภาษณ์อะไรเขาบ้าง เป็นคิวการทำงานปกติอยู่แล้ว เรื่องที่คนมองว่าแพนไปเฝ้าพี่เป้ ก็ไม่คิดอะไรมากนะ มันเป็นวิธีการที่ทำให้คนสนใจข่าว” จะมีโอกาสรับงานคู่มั้ย? “ก็แล้วแต่โอกาสมากกว่า เพราะแพนก็ต้องทำงานและเรียน พี่เป้ก็ต้องทำงานของเขา แต่ที่ผ่านมาหลังละครปิดกล้องก็มีโอกาสได้เจอกันตามงาน”

...หลังเลิกกันได้เจอเวียร์มั้ย... “ไม่ได้เจอและคุยกันเลย” เวียร์ก็บ่นว่าไม่ได้เจอแพนเค้กเป็นเดือนแล้ว ถ้าเจอจะยังไง? “ก็คงปกติค่ะ ต่างคนต่างทำงานมากกว่า ถ้ามีงานติดต่อคู่กันก็แล้วแต่โอกาสของงาน” ...ล่าสุดมีคนเจอเวียร์กะแพนไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าว... “แพนเพิ่งไปมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เข้าไปถึงลานจอดรถเรียบร้อย ปรากฏว่าปิดแล้ว ยังงงอยู่เลย ไม่ได้ไปด้วยกันแน่นอน ยืนยันว่าไม่เจอกันเลย” ล่าสุดมีข่าวว่าเวียร์ไปจีบ ขวัญ-อุษามณี? “ไม่ทราบค่ะ อันนี้ต้องไปถามเจ้าตัวเองดีกว่าค่ะ”.
ที่มา เดลินิวส์

'เอ๊ะ-เจมส์' แต่งชาตินี้ชัวร์

รองานแต่ละคนลงตัวก่อน

ปล่อยให้แฟนสาว เอ๊ะ-ศศิกานต์ อภิชาติวรศิลป์ ฉายเดี่ยวออกงานมานาน แถมยังเลื่อนแพลนวิวาห์ไปแบบไม่มีกำหนด ด้านหวานใจ เจมส์-เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ ก็มีข่าวควงสาวอื่นบ้างล่ะ เป็นเกย์ไปแล้วบ้างล่ะ ล่าสุดเจมส์มาทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานเปิดร้านอาหารเกาหลี “ทูดาริ” ซอยทองหล่อ 13 ของหวานใจ เอ๊ะ-ศศิกานต์ งานนี้ทั้งคู่เลยเปิดใจให้สัมภาษณ์พร้อมกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้ออกงานด้วยกันมานาน

เอ๊ะ กล่าวว่า “ทูดาริเป็นแบรนด์อาหารเกาหลีที่ประสบความสำเร็จมา 25 ปี ที่เกาหลีมีมากกว่า 2,000 สาขา ซึ่งเรามั่นใจในทุกอย่างของเขา จึงเป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทของครอบครัวเอ๊ะกับบริษัทเจ้าของ ทู
ดาริ” ที่เปิดร้านอาหารเกาหลีเพราะชื่นชอบเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า? “จริง ๆ แล้วเอ๊ะเป็นคนไม่ชอบทานอาหารเกาหลีแต่หลังจากที่เราได้ไปทานอาหารที่ทูดาริก็มีเมนูหลากหลายกว่าร้านอาหารเกาหลีทั่วไป” ...ลงทุนกี่หลัก... “ทุนจดทะเบียน 20 ล้าน ก็ครึ่ง ๆ ระหว่างไทยกับเกาหลี เอ๊ะมองว่าตรงนี้เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและยั่งยืน สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แล้วโปรเจคท์ที่มองกันไว้ทางเกาหลีเขาต้องการให้ 10 ปี ต้องมี 1,000 สาขา อันนี้เป็นภารกิจที่ต้องทำ ช่วงนี้อาจต้องชะลองานในวงการเพื่อลุยธุรกิจตัวนี้อย่างเต็มที่” ล่าสุดมีข่าวว่าที่ไม่แต่งงานกันสักที เพราะเจมส์ซุกกิ๊ก? “เรื่องนี้เอ๊ะไม่ซีเรียสนะ เฉย ๆ อย่างที่บอกถ้าเราไม่ไว้ใจกันก็คงคบกันมานานถึง 12 ปีไม่ได้ เอ๊ะเชื่อใจคนที่อยู่ข้าง ๆ เอ๊ะ เราให้อิสรภาพในการใช้ชีวิตของเขา คนเรามีได้ทั้งเพื่อนหญิงและเพื่อนชาย และตลอดเวลาที่คบเขาไม่เคยทำให้เราเสียน้ำตาเรื่องผู้หญิง เรื่องแต่งงานต้องรอให้เราพร้อมจริง ๆ แต่เราขอทำงานไปก่อน ไม่ได้บอกจะเลื่อนไปเรื่อย ๆ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่แต่งชาตินี้แน่นอน”

เจมส์ เผยว่า “เรื่องที่บอกว่าผมมีกิ๊กเป็นนักศึกษานั้น ไม่มีหรอก ผมไม่รู้ว่าข่าวนี้มาได้ยังไง เวลาผมเล่นละครแนวไหนจะมีข่าวแบบนั้นออกมาทุกที อย่างพอเล่นละครเวทีเป็นกะเทย ก็มีข่าวว่าเป็นเกย์ เล่นบทหนุ่มเจ้าชู้ก็มีข่าวว่าซุก นศ.ก็ไม่จริง คงเป็นเพราะช่วงเล่นละครเวที ผมไปเช่าคอนโดมิเนียมอยู่แถวรัชดาภิเษกมั้ง ตรงนั้นอาจเป็นที่มาของข่าวลือ พอมีข่าวผมก็เป็นคนโทรฯไปบอกเขาเอง เราค่อนข้างรู้ไส้รู้พุงกันหมดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง มีอะไรผมจะบอกเขาตลอด การที่เขาไม่ตามผมให้ความรู้สึกวางใจทำให้เรารู้สึกได้รับเกียรตินั้น และก็จะไม่ทำสิ่งที่มันไม่ดี” ...ตอนนี้ยังเช่าคอนโดแถวนั้นอยู่มั้ย... “ไม่แล้วครับ จะอยู่แค่ช่วงมีละครเวที” มีแพลนวิวาห์หรือยัง? “ยังไม่มีอะไรเป็นกำหนดการแน่นอน เรายังไม่ได้เตรียมการอะไรมาก ต้องรอดูว่าพร้อมเมื่อไหร่”.
ที่มา เดลินิวส์

“บอล-ภราดร”เตียงหักเลิก”นาตาลี”

“ซูเปอร์บอล-น้องฟ้า”รักขมประกาศแยกทาง เก็บตัวเงียบไม่เปิดปาก“ธนากร”พี่ชายรับ ทั้งสองแยกกันจริง

เมื่อ 24 ก.พ. ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มารีน่า คลูดิ้ง ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท แองเจิ้ล แอนด์ แบร์ โปรดักท์ชั่น จำกัด ได้ทำข่าวแจกไปยังสื่อมวลชนถึงการประกาศแยกทางกันของตำนานนักเทนนิสมือ 1 ของประเทศไทย “ซูเปอร์บอล” ภราดร ศรีชาพันธ์ และ อดีตมิสยูนิเวอร์ส นาตาลี เกลโบวา ได้ตัดสินใจแยกกันอยู่อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนกรกฏาคมปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้เผยว่า สาเหตุมาจากภาระหน้าที่ด้านการงานของสองฝ่ายทำให้ห่างเหินกัน จึงตัดสินใจแยกทางกันด้วยดี

ทั้งนี้คู่รักระดับโลก “บอล-น้องฟ้า” ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและยังคงวางแผนที่จะร่วมหุ้นทำธุรกิจในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคด้วยกัน พร้อมยังให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันในทุกๆ เรื่อง อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ ทั้งภราดรและนาตาลี ยังต้องการความเป็นส่วนตัวในเรื่องดังกล่าวจึงได้เก็บตัวเงียบ

“หลายปีที่ผ่านมา ด้วยหน้าที่และการงานทำให้ชีวิตคู่ของเราดำเนินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราทั้งคู่คงห่วงใยและดูแลซึ่งกันและกันอยู่ ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและจะยังคอยให้การสนับสนุนทั้งด้านธุรกิจและเป้าหมายต่างๆ ในชีวิตของแต่ละฝ่ายอีกด้วย” ภราดรและนาตาลีกล่าว

อย่างไรก็ตาม ภราดร นักหวดลูกสักหลาดเอเชียเพียงคนเดียวที่สามารถไต่อันดับขึ้นมาอยู่ 1 ใน 10 ของผู้เล่นยอดเยี่ยมของรายการเทนนิส เอทีพีทัวร์ ยังคงเดินสายเล่นเทนนิสและทำธุรกิจ ขณะนี้ถือว่ากำลังประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยอีกด้วย ขณะที่นาตาลี สาวแคนาดาเชื้อสายรัสเซีย ผู้ได้รับการการันตีความงามด้วยตำแหน่งนางงามจักรวาลปี 2548 ยังคงเดินสายร่วมงานการกุศลทั่วประเทศไทย พร้อมกับความสำเร็จในฐานะนางแบบและเซเลบริตี้ผู้มีงานผ่านสื่อมากมาย

ขณะที่ นายธนากร ศรีชาพันธุ์ พี่ชายของ ภราดร เปิดเผยว่า น้องชาย ได้แยกกันอยู่กับ นาตาลี มานานแล้ว และเตรียมจะแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ ภราดร เข้ารับปริญญาของ ม.รามคำแหง ในวันที่ 4 มี.ค. ซึ่งการเลิกกันครั้งนี้ ขอยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวกับมือที่ 3 แต่เป็นเพราะทั้ง 2 คน ไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ และมีแนวความคิดในการใช้ชีวิตไม่ตรงกัน

สำหรับการตัดสินใจที่จะเลิกใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น นายธนากร กล่าวว่า ทั้ง ภราดร และ นาตาลี ได้มีการตกลงกันด้วยดี และเมื่อแยกกันอยู่ ทั้ง 2 คน ยังมีการพูดคุยติดต่อกันในฐานะเพื่อน แม้ตัวของ ภราดร จะรู้สึกเสียใจที่ต้องแยกทางกับนาตาลี และยังมีอาการ “เฮิร์ท” อยู่ ซึ่งคนในครอบครัวก็ได้แต่ให้กำลังใจ พร้อมทั้งเชื่อว่า ภราดร คงจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ และกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นสุขอีกครั้ง นอกจากนี้คนในครอบครัว “ศรีชาพันธุ์” ก็หวังว่า ทั้ง ภราดร และ นาตาลี จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข แม้จะต้องเลิกเป็นสามี-ภรรยากันก็ตาม

ขณะเดียวกันย้อนวันวานทั้งคู่ถือว่าเป็นคู่หวานมีข่าวดีงานวิวาห์ในช่วง 29 พ.ย. 50 นี้อีกคู่หนึ่งเลยทีเดียว โดยก่อนหน้านั้นได้เข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ในวันที่ 22 พ.ย. 50 ก่อนที่จะมีงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 พ.ย. 50 ที่โรงแรมโอเรียนเต็ลอย่างใหญ่โต พร้อมทำงการ์ดเชิญงานเลี้ยงฉลองสมรสพระราชทาน ถูกออกแบบมาอย่างเก๋ไก๋ ซึ่งตัวการ์ดเชิญจะเน้นเป็นโทนสีฟ้าซึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของว่าที่เจ้าสาว ''น้องฟ้า-นาตาลี'' โดยด้านหน้าการ์ดจะเป็นรูปลูกเทนนิสประดับด้วยมงกุฎเพชร มีตัวอักษรว่า ''NP'' ซึ่งแปลความหมายก็คือ ''N'' แปลถึง ''นาตาลี'' ส่วน ''P'' ก็คือ ''ภราดร'' ประดับอยู่ตรงกลางลูกเทนนิสด้วย.

ที่มา เดลินิวส์

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฮันนีมูนแรกของเจ้าชายวิลเลี่ยม

งานอภิเษกสมรสแห่งปีที่คนทั้งโลกต่างเฝ้าจับตามองของ เจ้าชายวิลเลี่ยม กับพระคู่หมั้น เคท มิดเดิลตัน แม้ว่ายังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้น แต่มีการออกมาประกาศถึงแผนฮันนีมูนให้พสกนิกรที่คอยติดตามข่าวคราวได้รับทราบสมกับการรอคอยว่า ทั้งคู่จะ เดินทางท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกไปยังประเทศแคนาดาในฐานะคู่สมรส หลังเสร็จสิ้นงานอภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.– 8 ก.ค. รวมระยะเวลาทั้งหมด 9 วัน โดยจะเดินทางไปเยือนเมืองแอลเบอร์ตา, ดินแดนแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือ, เกาะพรินซ์เอ็ดเวิร์ด, รัฐควิเบก และเขตเมืองหลวง ซึ่งคาดการณ์ว่าเมื่อทั้งคู่เดินทางถึงประเทศแคนาดาแล้วจะพบกับการต้อนรับ และถูกห้อมล้อมจากพสกนิกรชาวแคนาดาอย่างมากมาย

เจ้าชายวิลเลี่ยมยินดีรับคำเชิญจากรัฐบาลแคนาดา ด้วยความตั้งพระทัยเดิมของเจ้าชายวิลเลี่ยมที่ทรงมีพระประสงค์จะมีโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศแคนาดาด้วยพระองค์เองแล้ว แต่เมื่อพระองค์ทรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่และประสบกับโอกาสดังกล่าวจึงได้ตัดสินพระทัยเสด็จพร้อมพระชายาให้พสกนิกรในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษได้ชื่นชมพระบารมี

ด้านการถวายการต้อนรับคู่รักข้าวใหม่ปลามัน สตีเฟน ฮาร์เพอร์ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศแคนาดา กล่าวว่า การตัดสินใจมาเยือนประเทศแคนาดาเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าประเทศแคนาดามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับครอบครัวราชวงศ์อังกฤษอย่างยิ่ง ประเทศแคนาดาจึงรู้สึกปลาบปลื้ม ยินดี ที่เจ้าชายวิลเลี่ยมและ เคท มิดเดิลตัน จะเดินทางมาท่องเที่ยวตามที่ทั้งคู่ได้วางแผนให้เป็นการท่องเที่ยวครั้งแรกในฐานะคู่แต่งงาน ซึ่งประเทศแคนาดา รอคอยที่จะต้อนรับคู่แต่งงานหนุ่มสาวคู่นี้ในช่วงฤดูร้อน และจะเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะสามารถจัดการได้ รวมถึงการต้อนรับอันพิเศษและอบอุ่นให้แก่สมาชิกของครอบครัวราชวงศ์ และเป็นความจริงใจว่าการพักผ่อนในครั้งนี้จะถือเป็นการเริ่มต้นของการครองคู่ที่ยาวนานตลอดไป

ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ. 1998 เจ้าชายวิลเลี่ยม ทรงเคยเดินทางมาท่องเที่ยวยังเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา เมื่อทรงมีพระชันษา 15 ชันษา พร้อมกับ เจ้าฟ้าชายชาร์ล และ เจ้าชายแฮรี่ นอกจากนี้เมื่อเดือน ก.ค. ปี ค.ศ. 2009 สมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 พระบรมราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าฟ้าชายชาร์ล พร้อมทั้ง คามิลล่า ดัชเชสแห่งคอร์วอลล์ เสด็จมาท่องเที่ยวและพักผ่อนที่ประเทศแคนาดาเป็นเวลา 11 วัน เช่นกัน เพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ.
ที่มา เดลินิวส์

'โย' ยังรอ 'โอเด็ต' ใช้หนี้

ไม่รู้เรื่องเพื่อนสาวตั้งครรภ์

หลังจากมีกระแสข่าวว่า นางแบบสาว โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร ยังเคลียร์ปัญหาเรื่อง เงิน ๆ ทอง ๆ กับเพื่อนซี้อย่าง โอเด็ต เฮน เรียต แจ๊คโคมิน ไม่ลงตัว ล่าสุดเจอตัวสาวโยในงาน “อันล็อค ยัวร์ บิวตี้ ซีเคร็ต วิท เดอะ ทรี มิราเคิลส์” ที่สยามพารากอน เจ้าตัวเลยอัพเดท เรื่องนี้ให้ฟังว่า

“จริง ๆ เราไม่ได้ทะเลาะกันนะคะ แต่การเขียนลงไปในทวิตเตอร์อาจจะมีการตัดพ้อ เพราะติดต่อเขาไม่ได้ บางคนบอกว่าเพื่อนกัน เรื่องแค่นี้ใช้ให้กันไม่ได้เหรอ โยถามหน่อยว่าเป็นเพื่อนคุณคุณจะใช้ให้มั้ย คือโยมองในมุมที่ว่ามันคือความรับผิดชอบ ซึ่งพอเราได้คุย เขาก็เข้าใจ” มีกระแสข่าวว่าเขากำลังมีน้อง? “ไม่ได้เจอเขานานมาก แต่ถ้าเกิดเขาตั้งครรภ์จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แล้วมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่เขาก็ไม่ได้พูด เขาพูดแต่ว่าตอนนี้อยู่ในภาวะที่ลำบากขอเวลาผ่อนผันนิดหนึ่ง ซึ่งเขาพูดเท่านี้เราไม่เข้าใจ เราเลยไม่ได้ถามอะไรต่อ” โยมีกำหนดมั้ยว่าต้องจ่ายหมดเมื่อไหร่? “โยก็คงให้ระยะเวลาเขาเรื่อย ๆ ก็เดี๋ยวดูว่าอาทิตย์หน้าเขาจะให้การติดต่อยังไง แต่เท่าที่เรามองเห็นตอนนี้ก็คือ เขาพยายามหาเงินมาใช้เราจริง ๆ” ช่วงนี้งานเขาน้อยลง? “โยก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่โน่นเขาทำงานหรือเปล่า” ถ้าเขามีปัญหาอะไรจริง ๆ เราพร้อมจะช่วยเหลืออีกมั้ย? “โยถือว่าเราสนิทกันในระดับหนึ่ง ถ้าเขามีอะไรเขาก็จะเล่า แต่ถ้าไม่เล่าโยคิดว่ามันอาจจะยังไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าเขาอ้าปากมาทำไมเราจะไม่ช่วย โยยืนยันว่าเราไม่ได้ทะเลาะกัน เขาเองจะรู้ว่าเวลาที่โยโกรธจะเป็นอย่างนี้ แค่อยากให้เขารับผิดชอบตั้งแต่สมัยที่คบกันตอน เด็ก ๆ แล้ว อยากให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่เสียทีค่ะ”.
ที่มา เดลินิวส์

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นองเลือด"กัดดาฟี"สั่งเครื่องบินรบยิงใส่ฝูงชน

"กัดดาฟี"สั่งเครื่องบินรบ ระดมยิงใส่ฝูงชนผู้ประท้วง ที่เมืองหลวงทริโปลี ลิเบีย ทูตลิเบียลาออกหมดแล้ว

วันนี้ 22 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินรบของทหารได้ระดมยิงใส่ฝูงชนผู้ประท้วงที่ต่อต้านรัฐบาลของนายโมอัมมาร์ กัดดาฟี ในเมืองหลวงทริโปลี ขณะที่่ทูตลิเบีย ประจำประเทศจีน อินเดีย อังกฤษ โปแลนด์ อินโดนีเซีย และทูตประจำองค์การสันนิบาตอาหรับ ลาออกหมดแล้ว

ทั้งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตจากการรวบรวมขององค์กรสิทธิมนุษยชน ในวันอาทิตย์อยู่ที่ 233 ศพ ผู้ชุมนุมยึดเมืองเบนกาซีได้แล้ว และเดินหน้าประท้วงต่อไปในเมืองหลวงทริโปลี และเมืองอื่นๆ ด้านกระทรวงแรงงานของไทย ได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศลิเบียกว่า 23,000 คน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไทยไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย พร้อมกับต้องพกหนังสือเดินทาง และของมีค่า ติดตัว โดยเบื้องต้นให้แรงงานไทยไปรวมตัวที่สนามบิน และสถานทูตไทย เพื่อเตรียมการอพยพ

ที่มา เดลินิวส์

รวบ"สุรชัย แซ่ด่าน"พาดพิงสถาบันเบื้องสูง

รวบ นายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำกลุ่มแดงสยาม ตามหมายจับศาลอาญา ที่สน.โชคชัย กล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูง

วันนี้ 22 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 02.00 น. พล.ต.ต.สุธีร์ เนรกัณฐี ผบก.น.4 พ.ต.อ.อาณัติ เกล็ดมณี รองผบก.น.4 สั่งให้การให้ ตำรวจชุดสืบสวนบก.น.4 นำโดย พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน ผกก.สส.น.4 เข้าควบคุมตัวนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำกลุ่มแดงสยาม ตามหมายจับศาลอาญา ที่สน.โชคชัย ไปขออำนาจศาลออกไว้ กรณีที่นายสุชัย มาปราศรัยที่ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อเดือนธ.ค.53 แล้วกล่าวพาดพิงสถาบันเบื้องสูง

โดยจับกุมได้ขณะที่ นายสุรชัย กำลังเข้าบ้านพักในซอยประชาราษฎร์ 3 ถนนกรุงเทพ-นนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบสวนที่สน.โชคชัย โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจที่สถานีตำรวจด้วยแต่ไม่มีเหตุรุนแรง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่นายสุรชัย ไม่ยอมให้การใดๆ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป สำหรับนายสุรชัย เมื่อปี 53 เคยเข้าร่วมกับแกนนำนปช.ในการกดดันรัฐบาล แต่ช่วงที่มีการชุมนุมเข้มข้นได้แยกตัวออกมาพร้อมกับประกาศว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะไร้ผลทำให้แกนนำนปช.ขณะนั้นประกาศตัดความสัมพันธ์ทำให้นายสุรชัย เคลื่อนไหวอยู่ในชื่อของกลุ่มแดงสยามจนมาถึงปัจจุบัน

ที่มา เดลินิวส์

ปล่อยแล้ว 8 แกนนำเสื้อแดง

ปล่อยแล้ว 8 เสื้อแดง หลังศาลอนุญาตให้ประกัน 7 แกนนำ 1 แนวร่วม วงเงินเท่า พธม. กำหนดเงื่อนไข 2 ข้อ


เมื่อวันที่ (22 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งในคดีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย ไพรพนา, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก และนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 3,4,5,6,7,8 10 และ 11คดีร่วมกันก่อการร้าย ขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยยื่นหลักทรัพย์ขอประกันเป็นเงินสดคนละ 600,000 บาท และศาลได้ไต่สวนพยานรวม 7 ปากจนแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมา และนัดฟังคำสั่งวันนี้ โดยศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนแล้วเห็นว่า กรณีมีข้อเท็จจริงบางประการที่จะให้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากคำสั่งเดิมได้ จึงเห็นควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 3,4 5,6,7,8,10และ 11 โดยตีราคาประกันคนละ 6 00,000 บาท ทั้งนี้ห้ามมิให้จำเลยดังกล่าวกระทำการอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน อันที่จะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาญาจักรหรือให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยดังกล่าวเดินทางออกนอกราชอาญาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล

ทันทีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกัน กลุ่มคนเสื้อแดงที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีต่างปรบมือ ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี โดยบรรดาภรรยาของจำเลย ต่างร่ำไห้ใช้มือปิดหน้าเช็ดน้ำตาด้วยความยินดี และโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 100 คนที่มาให้กำลังใจท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช. จะนำเงินสดยื่นประกันคนละ 600,000 บาท นอกจากนี้ยังยื่นขอประกันตัวนายณัฐวุฒิ นายวิภูแถลง และนพ.เหวง คนละ 200,000 บาท ในคดีที่ทั้ง 3 คน เป็นจำเลย กรณีบุกบ้านสี่เสาร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ รวมทั้งยังยื่นประกันนายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก อีกจำนวน 1,000,000 บาท ในคดีปล้นอาวุธปืน และคดีหมิ่นเบื้องสูงอีกด้วย

ด้านนางธิดา โตจิราการ รักษาการประธาน นปช.ภรรยา นพ.เหวง กล่าวว่า เมื่อได้รับการประกันตัวแล้ว จำเลยทั้งหมดย่อมมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเชื่อว่าทุกคนจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลวางข้อกำหนดไว้ ส่วนการชุมนุมวันที่ 12 มี.ค. จะมีการชุมนุมที่หน้าศาลอาญาอีกหรือไม่ จะหารือกันอีกครั้งในวันที่ 23 ก.พ. ส่วนแกนนำทั้ง 7 คนจะขึ้นเวทีด้วยหรือไม่นั้นเป็นสิทธิของแต่ละคน สำหรับปัญหาในการเคลื่อนไหวมีสิ่งสำคัญคือ หิวไม่มีอะไรจะรับประทาน และปัญหาความยุติธรรม ซึ่งมีความสำคัญที่สุด แต่นับเป็นสัญญาณที่ดีในการแก้ปัญหาความเท่าเทียมกัน ถือว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทย ที่ได้เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จากกระบวนการยุติธรรม เปรียบเสมือนแสงสว่างให้แก่แนวร่วมคนอื่นๆอีก กระทั่งเวลา 17.oo น. ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยตามที่ร้องขอ

ด้าน นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กล่าวภายหลังทราบข่าวศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) คนเสื้อแดงว่า ขั้นตอนหลังจากนี้คงต้องรอคำสั่งของศาลเดินทางมาถึงเรือนจำ จากนั้นจะทำการขานชื่อนักโทษว่าชื่อในใบปล่อยตัวตรงกับบุคคลที่จะปล่อยหรือไม่ ป้องกันการแฝงตัว แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนเรื่องเงินฝากและทรัพย์สินที่ฝากไว้กับสหกรณ์เรือนจำหากมีก็จะส่งคืนให้ทั้งหมด ส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้อื่น ๆ หากไม่ต้องการนำกลับก็สามารถมอบให้นักโทษคนอื่นได้ โดยเฉพาะเสื้อผ้ามักไม่มีใครนำกลับไปด้วยเพราะถือเป็นลางไม่ดี ส่วนนายนริทร์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความแกนนำนปช. คาดว่าแกนนำนปช.น่าจะได้รับการปล่อยตัวได้ในเวลา 17.00 น. โดยหลังแกนนำได้รับการปล่อยตัวแล้ว จะเดินทางไปทำกิจกรรมที่ใดต่อทันทีหรือไม่นั้น คงต้องหารือกับนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธานนปช. ก่อน

หลังจากแกนนำทั้ง 7 คน ได้ประกันตัวครบทั้งหมดแล้ว ทุกคนพร้อมเดินทางไปยังบ้านสนามบินนํ้าของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เพื่อเป็นการขอบคุณที่ช่วยเหลือประสานการเจรจาปรองดองทำให้ได้ออกจากเรือนจำได้สำเร็จ

ต่อมาเมื่อเวลา 20.00 น. ทางเจ้าหน้าที่เรื่อนจำได้ทำการปล่อยตัวแกนนำทั้ง 8 คน ให้เป็นอิสระ ท่ามกลางเสียงตบมือและโฮร้องแสดงความดีใจของชาวเสื้อแดงจำนวนมากที่มารอรับ.
ที่มา เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

'โย' เฉลย 'โอเด็ต' โกงเงิน ไม่เคยโกรธแค่อยากให้ใช้หนี้

ปล่อยให้หลายคนแคลงใจมานานว่าเพื่อนซี้ชื่อย่อ อ. คนไหนกันนะ ที่กล้าเชิดค่าโทรศัพท์ของนางแบบสาวก้านยาว โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร ไปได้ ล่าสุดสาวโยได้เผยในงาน “เซ็นทรัล บิวตี้ ออฟ เดอะ อีสต์” ที่ห้างเซ็นทรัล ชิดลม ว่า เพื่อนสาวคนดังกล่าวคือ โอเด็ต เฮนเรียต แจ๊คโคมิน จริง ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งได้เงินคืนมาแล้ว 1 หมื่นบาท ขอยันว่าไม่ได้โกรธ แต่อยากให้มีความรับผิดชอบบ้าง

โย เผยว่า “เพิ่งได้รับการโอนเงินมา 1 หมื่นบาท ทางไกลมาจากมาเลเซียค่ะ ซึ่งโยต้องอธิบายว่า คือว่าโทรศัพท์เป็นชื่อเมสเซนเจอร์ของโย ตั้ง แต่ 2 ปีที่แล้ว ที่ให้เขาไปซื้อโทรศัพท์ให้ ก็คิดว่าเปลี่ยนชื่อกันไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดไม่ได้เปลี่ยน และโทรศัพท์ก็โดนตัดมา 6 เดือนกว่า ค่าใช้จ่ายจริง ๆ ก็ 5 หมื่นบาท แล้วเขาก็หายไปเลยติดต่อไม่ได้ ถ้าเขาไม่รับผิดชอบ โยเองก็ต้องรับผิดชอบ ไม่มีทางที่เมสเซนเจอร์เราจะหาเงิน 5 หมื่นมาใช้ตรงนี้ได้ และเราก็เป็นคนขอให้เขาช่วยด้วย พอมีหมายศาลมา ทุกอย่างก็เดือดร้อนเขา”

เพื่อน อ. จะใช้เราหมดเมื่อไหร่? “เขาขอเวลาอีก 2 อาทิตย์ เขาจะให้อีก 1 หมื่น โยคิดว่าถ้าภายใน 2 อาทิตย์นี้ ยังไม่ได้เงินอีก ก็จะออกไปก่อน แล้วรอดูว่าเป็นยังไง” สรุปว่าใช่โอเด็ตตามที่เป็นข่าวมั้ย? “ใช่ค่ะ จริง ๆ เขาก็ไม่ได้อะไรนะ คือเราไม่ได้ทะเลาะหรือเกลียดกัน เพียงแต่อยากให้เขามีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เขาคิดว่าเรื่องแค่นี้ทำไมถึงโกรธเขามากขนาดนี้ คือเรื่องแค่นี้สำหรับเขา มันอาจเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนทำงานธรรมดาคนหนึ่ง และตัวโยเองอยากให้เขามีความรับผิดชอบ ในเมื่อเรากล้าใช้ เราก็ต้องกล้าจ่าย เขาขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งเราและเมสเซน เจอร์ด้วย” ความสัมพันธ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า? “ตามที่บอกไม่ได้เจอเขามาร่วมปีแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้เขายังทำงานอยู่หรือเปล่า ถามว่าความสัมพันธ์โยไม่มีอะไรนะ เมื่อเคลียร์ตรงนี้จบ ก็ขอให้จบ สำหรับตอนนี้ตัวโยไม่มีอะไรเลย”.
ที่มา เดลินิวส์

ตำหนิ..ทีมรปภ.นายกฯถูกสาวใหญ่บุกประชิดถึงตัวนายก

"มาร์ค"ตะลึงแม่ค้าหมูปิ้งบุกเกาะโพเดียมร้องป่วย ทีมรปภ.นายกฯถูกเรียกถกด่วนหลังพลาดประชิดตัวถูกตำหนิหนัก
วันนี้ 21 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์แม่ค้าขายหมูปิ้งย่านคลองเตย ซึ่งพิการหูหนวกเนื่องจากพยาธิตัวจี๊ดขึ้นสมอง ได้บุกขึ้นเวทีร้องขอความเป็นธรรมต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่กำลังมอบนโยบายแก้ปัญหาเด็กและเยาวชน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นั้น นายอิสสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ กล่าวยอมรับว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เป็นความผิดพลาดของการดูแลความปลอดภัยที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ถือเป็นอันตรายต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น พร้อมกล่าวขออภัยในสิ่งที่เกิด

ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และปฏิบัติภารกิจในห้องทำงานตึกไทยคู่ฟ้า ทีมรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีถูกเรียกประชุมด่วน กรณีความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีข้อมูลว่าถูกตำหนิจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่มีประเมินสถานการณ์ผิดพลาด โดยอ้างว่า ผู้หญิงที่เข้าร้องเรียนแต่งกายคล้ายทีมรับจัดงาน จึงไม่ผิดสังเกต และทำให้เกิดความบกพร่องในที่สุด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเป็นประธานมอบนโยบายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหา เด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งจัดโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีนายอิสสระ สมชัย รมว.พม. ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประมาณ 1,000 คนร่วมงาน โดยระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ ได้ขึ้นไปยืนที่โพเดี้ยมบนเวทีขนาดใหญ่นั้น ปรากฎว่า ได้มีสุภาพสตรีรายหนึ่ง ทราบชื่อภายหลังว่านางเกศรินทร์ วุฒิวงศ์ อายุ 46 ปี ชาวคลองเตย กทม. อาชีพค้าขายหมูปิ้ง ได้บุกเดี่ยวขึ้นไปประชิดตัวนายอภิสิทธิ์ พร้อมแผ่นป้ายรายละเอียดข้อความร้องเรียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษชนิดประชิดโพเดี้ยม โดยได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือและขอให้นายอภิสิทธิ์ อ่านข้อความบนแผ่นป้ายร้องเรียนดังกล่าว

ในช่วงนาทีดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างตกตะลึง และคาดไม่ถึง โดยครั้งแรกหลายคนเข้าใจว่า เป็นการแสดงประกอบการจัดงาน แต่เมื่อนางเกศรินทร์ ตะโกนส่งเสียงดัง นายอภิสิทธิ์ ถึงกับพูดผ่านไมโครโฟนด้วยน้ำเสียงตกใจ ว่า “เดี๋ยวรับเรื่องไว้ครับ เดี๋ยวจะดูให้น่ะครับ” แต่เนื่องจากนางเกศรินทร์ ไม่ได้ยินคำพูดของนายอภิสิทธิ์ จึงได้พยายามชี้ให้อ่านที่แผ่นป้ายข้อความร้องเรียน เวลาผ่านไปประมาณเกือบ 2 นาที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพ.ต.อ.คมศักดิ์ สุมังเกษตร ผกก.สน.บางนา และเจ้าหน้าบริษัทรับจัดงาน (อีเว้นท์) ประมาณ 5 คน ได้สติ จึงกรูขึ้นไปบนเวทีและพยายามฉุดกระชากลากตัวนางเกศรินทร์ ลงมาจากเวที ซึ่งระหว่างนั้นนางเกศรินทร์ ก็พยายามตะโกนร้องขอให้นายอภิสิทธิ์ ช่วยเหลือ พร้อมดิ้นรนต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ โดยบอกว่าไม่ได้ต้องการมาทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน แต่มาร้องขอความเป็นธรรมและความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรี

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ หายตกตะลึงก็พยายามพูดผ่านไมโครโฟนอีกครั้งเพื่อให้ นางเกศรินทร์ สงบว่าจะรับเรื่องร้องเรียนไปดูแลและแก้ไขให้ ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้พาตัวนางเกศรินทร์ ลงจากเวทีอย่างทุลักทุเลและออกประตูด้านหลังของอาคารเพื่อไปสงบสติอารมณ์ โดยครั้งแรกเจ้าหน้าของ พม.พยายามกันผู้สื่อข่าวไม่ให้ไปทำข่าวนางเกศรินทร์ โดยขอว่าให้ช่วยไปฟังการพูดของนายอภิสิทธิ์แทน

อย่าง ไรก็ตาม สำหรับนางเกศรินทร์ นั้นได้พยายามอธิบายและชี้แจงว่า ตัวเองป่วยเป็นโรคพยาธิตัวจี๊ดขึ้นสมองมาตั้งแต่ปี 2551 โดยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาฯ แต่อาการไม่ดีขึ้นเนื่องจากพิษของโรคจนกลายเป็นคนพิการหูไม่ได้ยิน ซึ่งวิธีรักษามีอยู่ทางเดียวคือต้องใส่ประสาทหูเทียม แต่เนื่องจากเป็นเพียงแม่ค้าไม่มีเงิน ทางโรงพยาบาลจึงไม่ยอมรักษาให้ โดยให้เหตุผลว่าการรักษาต้องใช้เงินจำนวนมาก ตนจึงได้พยายามไปร้องขอที่สภาสังคมสงเคราะห์แต่ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือ
“ดิฉันได้เขียนจดหมายมาถึงนายกรัฐมนตรี โดยเขียนส่งไปที่บ้านพัก 1 ฉบับ เขียนส่งมาที่ทำเนียบรัฐบาล 8 ฉบับ แต่ก็ไม่มีการตอบรับหรือความช่วยเหลืออย่างใด การมาในวันนี้ก็ไม่ต้องการมาสร้างความเดือดร้อนสร้างความวุ่นวาย ทำร้ายหรือขอเงิน แต่ต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องการผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียมเท่านั้น ซึ่งก็ต้องขอโทษเจ้าหน้าที่ด้วยที่บุกขึ้นไปบนเวทีเพราะต้องการให้นายก รัฐมนตรีช่วยเหลือเพราะเดือดร้อนจริงๆ ” นางเกศรินทร์ กล่าว

โดยเจ้าหน้าที่ของ พม.ได้จดรายละเอียดความเดือดร้อนของนางเกศรินทร์ เพื่อเสนอต่อผู้บังคับบัญชาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรีวันนี้มี พ.ต.ท.นีรนาท ฉินประสิทธิชัย เป็นหัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ชุดล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย มีเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยประชิดตัวทั้งตำรวจและทหาร แต่ในช่วงเกิดเหตุการณ์ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดเข้าไปป้องกันได้ทัน หากเป็นการลอบทำร้ายนายกรัฐมนตรีก็คงสำเร็จ

ทั้ง นี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับถึงทำเนียบรัฐบาล และเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทางทีมรักษาความปลอดภัยได้เรียกหัวหน้าชุดของแต่ละส่วนรักษาความปลอดภัยนายก รัฐมนตรี ประชุมด่วนที่ห้องสีม่วง หลังจากเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้.
ที่มา เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

'อั้ม' จับได้อีกแล้ว 'โน้ต' แอบกิ๊ก 'ซ.'

เคลียร์ข่าวเรื่องนางเอก ’จ.“ ไปได้ไม่ทันไร ก็มีอักษรย่อตัวใหม่ออกมาให้ปวดหัวกันอีก เมื่อมีข่าวว่าไฮโซหนุ่ม โน้ต-วิเศษ รังสีสิงห์พิพัฒน์ หวานใจของสาว อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ แอบไปกิ๊กกับดาราสาว ’ซ.“ ถึงขนาดควงกันไปไหนมาไหน ล่าสุดเจอตัวสาวอั้มในงานแถลงข่าวฉลองครบรอบ 60 ปี อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี. ที่ลานพาร์คพารากอน เจ้าตัวเลยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า

“เอาเป็นว่าต้องดูต่อไปค่ะว่าจะเลิกยุ่งกันมั้ย เพราะพอทะเลาะกันทีไรต้องแอบไปที่โน่นที่นี่กัน แล้วพนักงานเสิร์ฟตามโรงแรมก็จะมาเล่าให้ฟังนะคะ ตอนนี้ก็ดีกันแล้ว เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่เขาแล้วกัน เราก็ทำดีที่สุดแล้ว” ตอนนี้โน้ตเลิกยุ่งกับ ซ.รึยัง? “ผู้ชายบอกว่าไม่ได้สนใจอะไรค่ะ แต่ถามว่าผู้หญิงตามตื๊อหรือเปล่า อั้มบอกไม่ได้ค่ะ แต่คงไม่มีอะไรแล้วมั้งคะ” ได้มีการพูดคุยกับดารา ซ.มั้ย? “มีค่ะ เขาบอกว่าไม่ได้รู้จักกัน แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะผู้ชายยอมรับแล้วค่ะ” เขาเกรงใจหรือเปล่าเลยไม่กล้ายอมรับ? “ไม่หรอกค่ะ ถ้าเขาเกรงใจเรา เขาคงไม่กล้าทำแบบนั้น” มีการคาดโทษมั้ย? “ไม่มีค่ะ อั้มเคยให้สัมภาษณ์ไปว่าให้อภัยได้ทุกเรื่อง แต่ต้องเป็นเรื่องใหม่ ๆ ถ้าเป็นเรื่องใหม่ ๆ แล้วจะเอาอะไรได้ล่ะคะ” ในรายการวู้ดดี้อั้มให้สัมภาษณ์ว่า “อั้มก็ต้องหวงของอั้ม” ? “อยากจะบอกว่าถ้าเกิดว่าอยากคุยกันจริง ๆ จะหลีกทางให้เลย ไม่ได้โทรฯไปอาละวาดอะไรนะ ผู้ดีมาก ๆ เลย แต่คือหลายเหตุการณ์ที่เพื่อนอั้มไปเจอมา ไปเห็นมากับตา แต่ในเมื่อเขาปฏิเสธก็ไม่เป็นไรค่ะ” ในรายการวู้ดดี้คำถามดูเจาะลึกมาก? “ก็มากที่สุด เพราะจริง ๆ ไม่ชอบพูดเรื่องความรักของตัวเอง แต่จากประสบการณ์ที่เคยมีคนรักแล้วเราไม่เคยพูดถึงเขาเลย จนเสียเขาไป เราก็รู้สึกเสียใจและใจหายนะคะ กับคนใหม่ ๆ เลยพยายามทำให้เขามากขึ้น” ความรักที่เปิดเผยมีความสุขกว่าหลบซ่อนมั้ย? “เชื่อมั้ยว่าความรักที่ปิดบังสบายใจกว่า เพราะไม่มีใครอยากจะได้ของเรา ไม่มายุ่ง พอยิ่งเปิดเผยว่าตัวตนของเขาเป็นคนคนนี้ พอคนเห็นว่าเขาคุณสมบัติพร้อมก็เข้ามากันใหญ่” มีน้อยใจมั้ย? “เขาหล่อเลือกได้ ไม่หรอกค่ะ เป็นช่วงที่อาจจะมีปัญหาแค่ 2-3 วันเอง”

ล่าสุดวาเลนไทน์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง? “ก็ดีค่ะ แฮปปี้ดีค่ะ” ได้อะไรเป็นของขวัญ? “ได้เป็นทองคำแท่งค่ะ แต่จะบอกว่าไม่ใช่แค่ผู้ชายให้เราอย่างเดียวนะคะ เราก็ต้องให้ด้วยในราคาที่เท่า ๆ กันด้วยค่ะ” ถูกใจไหม? “ก็อยากได้ของมากกว่า แต่คงต้องรอวันเกิดปีหน้าค่ะ (ยิ้ม)” แล้วเราให้อะไรโน้ต? “นาฬิกาค่ะ เขาชอบมากค่ะ อั้มกัดฟันซื้อค่ะ เลยต้องทำงานโชว์ตัวตลอด ร้อนก็ร้อน” เห็นว่าเขียนบอกรักด้วย? (อั้มยิ้มเขิน) “ก็ปกติค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ แต่ถ้าถามว่าใครเขียนการ์ดหวานกว่ากัน อั้มก็ต้องหวานกว่าค่ะ (ยิ้ม) เพราะอารมณ์ศิลปิน”.
ที่มา เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สาวเครียดถูกคลุมถุงชนจะกระโดดตึก 6 ชั้น

สาวปทุมสุดเครียดถูกทางบ้านคลุมถุงชน จับแต่งงาน สวมบิกินี่จะกระโดดตึก 6 ชั้น ตร.ช่วยได้(มีคลิป)


วันนี้(17 ก.พ. )พ.ต.อ.พรชัย ขจรกลิ่น ผกก.สน.โชคชัย ได้รับแจ้งเหตุว่า มีผู้หญิงพยายามจะกระโดดจากชั้นที่ 6 ของอาคาร เค-รีสอร์ท เลขที่ 9/29 ซ.ประดิษฐ์มนูธรรม19 ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมกับเจ้าหน้าที่สายตรวจ สนโชคชัย พร้อมทั้งประสานหน่วยกู้ชีพ รพ.พระมงกุฎเกล้า เจ้าหน้าที่กู้ภัย รุดไปที่เกิดเหตุ ที่ระเบียงห้อง 609 พบ นส.อัปสรจันทร์ หงส์ประภัสสร หรือเก๋ อายุ 26 ปี ชาว จ.ปทุมธานี สวมใส่เพียงแต่ชุดชั้นในสีดำ ออกมายืนเกาะราวระเบียงห้อง พร้อมทั้งทำท่าการทิ้งตัวโหนไปมา สร้างความน่าหวาดเสียวแก่ผู้ที่สัญจรผ่านไปมา โดยมีนายศักดิ์สิทธิ์ เมือง อายุ 27 ปี แฟนหนุ่ม พยายามพูดหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมอยู่ห่างๆ

จนกระทั่งผ่านมาประมาณ 1.30 ชม. นส.เก๋ ได้แสดงความอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ได้ขอน้ำดื่มจากแฟนหนุ่มดื่มอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะกลับเข้ามาภายในห้องพัก จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนให้นายศักดิ์สิทธิ์ พยายามทำทีเข้าไปพูดคุยใกล้ๆ ซึ่งได้อาศัยจังหวะที่ นส.ยืนหันหลังไม่ทันระวังตัว โดยเข้าสวมกอดจากทางด้านหลัง พร้อมทั้งล็อคตัวกลับเข้ามาภายในห้องพักอย่างปลอดภัย

พ.ต.อ.พรชัย ได้กล่าวว่า “ สาเหตุที่ นส.อัปสรจันทร์ พยายยามที่จะคิดสั้นมาจาก ครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ชอบพอกัน นส.เก๋ จึงได้หนีมาหานายศักดิ์สิทธิ์ แฟนหนุ่มคนปัจจุบัน จากนั้นก็ได้เข้ามาเปิดห้องพักกันตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ พอรุ่งเช้าวันนี้ นส.เก๋ ซึ่งมีอาการเครียดมาก ก็ได้กินยากล่อมประสาทชนิดหนึ่งไปเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็มีอาการโวยวาย พูดจาไม่รู้เรื่องขว้างปาสิ่งของภายในห้อง แล้วก็ได้ปีนออกมายืนที่นอกระเบียงอย่างที่เห็น จนเจ้าหน้าที่ฯสามารถเข้าช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย จึงได้นำตัวส่ง รพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อทำการฟื้นฟูสภาพภาวะจิตใจต่อไป.
ที่มา เดลินิวส์

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ครั้งแรกในชีวิตของ 'มดดำ' บุกล้วงลับ...แฉ! พ่อตัวเอง

ตั้งแต่เข้าวงการมา ไม่เคยมีรายการไหนที่สามารถนำพ่อลูกคู่นี้ออกรายการได้พร้อมกันเลย ล่าสุดพิธีกรจอมแฉ มดดำ-คชาภา พาบุกบ้านคุณพ่อ สุชาติ ตันเจริญ อดีต ส.ส. ชื่อดัง พร้อมปฏิบัติการ ล้วง ลับ ตับ แตก!! ด้วยสารพัดคำถามเด็ด เริ่มจาก มดดำ พาทีมงานของรายการ อาทิ หนุ่ม–กรรชัย และ โก๊ะตี๋ บุกเข้าไปถึงกลางงานคล้ายวันเกิดของ สุชาติ เพื่อล้วงลับคำถามด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง ต่างจากคำถามที่แต่ละข้อนั้น ดุ เด็ด เผ็ด มันส์สุด ๆ ตั้งแต่เรื่องการเลี้ยงลูก การดูแลครอบครัว และเรื่องงาน

ก่อนจะเข้าคำถามล้วงลับที่ฟังแล้ว ทำเอา สุชาติ ถึงกับอึ้ง ไม่ว่าจะเป็นคำถาม จริงหรือไม่ที่ใคร ๆ ว่าคุณสุชาติเป็นมาเฟีย?, จริงหรือไม่ที่คุณสุชาติหาเจ้าสาวให้มดดำ? และ จริงหรือไม่ที่มดดำเคยจะเผาโรงเรียน? เจอเข้าไปแบบนี้ แขกรับเชิญรุ่นใหญ่จะทำอย่างไร แถมปิดท้ายมาเล่าวีรกรรมของลูกชายเป็นฉาก ๆ ชนิดแสบสุด ๆ ให้ฟังด้วย ที่แน่ ๆ มีภาพแห่งความอบอุ่นของครอบครัวตันเจริญ ที่มดดำก้มลงไปกราบตักพ่อ แล้วพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า...เข้าใจแล้วว่าคนที่รักและเข้าใจมดดำมากที่สุดคือพ่อ! เห็นภาพนี้แล้วทำเอา หนุ่ม และ โก๊ะตี๋ พร้อมกับทีมงานถึงกับน้ำตาซึมไปตาม ๆ กันเลย ติดตามชมทั้งหมดนี้ได้ในรายการ “ล้วง ลับ ตับ แตก” คืนวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.พ.นี้ สี่ทุ่มครึ่ง ช่อง 5.
ที่มา เดลินิวส์

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จำคุก15วัน“เต๋าสมชาย เข็มกลัด”คดีตื้บโกตารอลงอาญา2ปี

ศาลอุทธรณ์ลำปางสั่งจำคุก 15 วัน “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” คดีตื้บ “โกตา” แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี

วันนี้ 15 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. เต๋า-สมชาย เข็มกลัด ดารา-นักร้อง พร้อมด้วย นายรัฐพล พุทธรอด ทนายความส่วนตัว เดินทางมายังศาลแขวงจังหวัดลำปาง เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หมายเลขคดีดำ อ.2989/52 ในคดีทำร้ายร่างกาย นายวีระชาติ เด่นศิริกุล หรือ โกตา อายุ 56 ปี เจ้าของร้านขายของชำ ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาให้จำคุก 15 วัน โดยรอลงอาญา 2 ปี.
ที่มา เดลินิวส์

ไทย-เขมรเปิดฉากฉะกันรอบใหม่อีกรอบเจ็บอื้อ

ไทย-เขมร ยิงปืนเล็กปะทะกันบนภูมะเขืออีกระลอก ผลทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 5 นาย และสาหัส 1
ผู้สื่อข่าวรายงานด่วน ว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ 15 ก.พ. ได้เกิดเสียงปืนใหญ่ดังติดต่อกัน ที่พลาญอินทรีย์ ใกล้กับภูมะเขือ บนเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขตพื้นที่พิพาท 4.6 ตร.กม. ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 2 กม. โดยพื้นที่ดังกล่าว เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการทหาร กองร้อยสนับสนุนที่ 81 และ 82 กองพลน้อยสนับสนุนที่ 8 กองทัพบกกัมพูชา จำนวน 200 นาย ที่มี พล.ต.ยึม ปรึม เป็นผู้บัญชาการ ซึ่งทหารกัมพูชาได้ระดมยิงปืนอาก้า เอเค 47 จรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจี 7 ใส่ฐานปฏิบัติการทหาร หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ของไทย

ซึ่งทหารพรานไทยได้ขว้างระเบิดมือเอ็มเค 2 เข้าใส่ ยิงปืนเอ็ม 16 เอชเค 33 เอ็ม 79 และจรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจี 7 ตอบโต้ เพื่อสกัดไม่ให้ทหารกัมพูชารุกล้ำคืบคลานเข้าใกล้ฐาน แต่ทหารกัมพูชากลับยิงปืนใหญ่ ค.60 ค.82 และปืนใหญ่สนามเอ็ม 46 ไทป์ 59-1 ขนาด 130 มม. ถล่มอีกรอบ ฝ่ายไทยจึงยิงปืนใหญ่สนามไทป์ 59 ขนาด 130 มม. และปืนใหญ่แอลจี 1 เอ็มเค 2 ขนาด 105 มม.สวนกลับคืน พร้อมกับขอสนับสนุนกำลังจากกองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 โดยฝ่ายกัมพูชา พล.ต.เยือง โซะคน ผบ.กองพลน้อยสนับสนุนที่ 11 ก็นำกำลังทหารกองร้อยสนับสนุนที่ 111 และ 113 จำนวน 220 นาย เคลื่อนพลสนับสนุนกำลังด้วย

การปะทะกันดังกล่าว ใช้เวลายาวนานกว่า 3 ชม. เมื่อฟ้าสางจึงได้สิ้นสุดเสียงปืน โดยฝ่ายไทยมีทหารได้รับบาดเจ็บ 5 นาย ในจำนวนนี้มีบาดเจ็บสาหัส 1 นาย ซึ่ง พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์รับตัวไปรักษาที่ รพ.ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว โดยที่ทหารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใด ๆ กับสื่อมวลชนไทย อีกทั้ง ไม่ยอมรับว่ามีการปะทะกันเกิดขึ้น เพราะผู้บังคับบัญชาระดับสูงสั่งห้ามให้ข่าว เนื่องจากกลัวชาวบ้านชายแดนแตกตื่นเสียงปืนใหญ่ที่ดังขึ้นตั้งแต่เช้ามืด

ทำให้สถานการณ์ที่หมู่บ้านชายแดน โดยเฉพาะตำบลรุง เสาธงชัย ละลาย และ ต.ซำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งชาวบ้านเพิ่งอพยพกลับได้แค่ 2 วัน ก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้งทันที เมื่อเสียงปืนใหญ่ดังติดต่อกันหลายนัด จนสั่นสะเทือนมาถึงหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นหวาดระแวง และกลัวว่าเหตุปะทะกันจะเกิดขึ้นอีก พากันวิ่งเข้าหลุมหลบภัยกันวุ่น บางคนหอบหิ้วลูกหลานมาอาศัยนอนที่ศูนย์อพยพชั่วคราว ที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 40 กม. บ้างก็ขับรถหนีเสียงปืนใหญ่ โดยไม่มีจุดหมายว่าจะไปที่ใด

บรรยากาศที่โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา ต.เสาธงชัย ซึ่งถูกกระสุนจรวดบีเอ็ม 21 ของกัมพูชา ตกใส่ ได้รับความเสียหายในครั้งปะทะกัน เมื่อวันที่ 4-6 ก.พ.ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่สอง ในการเปิดทำการเรียนการสอน บรรดาครู และนักเรียนช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง พร้อมด้วยเก็บซากลูกกระสุนจรวดมาวางโชว์ในตู้กระจกด้วย นักเรียนมาเรียนเพียงไม่กี่คน ซึ่งทางโรงเรียนได้กางเต็นท์สอนข้างหลุมหลบภัย เพื่อความปลอดภัย

ขณะที่ โรงเรียนอื่น ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะ รร.บ้านภูมิซรอล แทบจะกลายเป็นโรงเรียนร้าง เพราะไม่มีเด็กมาเรียน

ส่วน พ.ต.ท.เปียว ทองแก้ว สว.สส.สภ.บึงมะลู เปิดเผยว่า ได้ฝึกทบทวนแนวปฏิบัติให้กับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้สังเกตบุคคลแปลกหน้าที่อาจแอบแฝงมากับผู้อพยพ ซึ่งอาจจะเป็นสายลับของกัมพูชา หรือมิจฉาชีพที่จะก่อเหตุลักทรัพย์ พร้อมทั้งประสานกับหน่วยทหารที่ลาดตระเวนในพื้นที่ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ดูแลทรัพย์สินประชาชน ตามแผนปฏิบัติการป้องกันรักษาที่ตั้ง และพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ที่ได้ซักซ้อมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะหากชาวบ้านอพยพหนีภัยก็จะไม่มีใครดูแลบ้านเรือน อาจมีมิจฉาชีพแฝงตัวก่อเหตุได้

ขณะเดียวกัน ร.อ.ชาตรี ผลนาค นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า จากกรณีที่ตำรวจควบคุมตัว นายบุญทิน ปัสสาสุ อายุ 28 ปี ราษฎร อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ พร้อมของกลาง ที่เชื่อว่าเป็นกระดาษจดรหัสลับ ตลับเมตร หมุดปักระยะ ยาเส้น มีดปลายแหลม โทรศัพท์มือถือ เงินสดจำนวนหนึ่ง ขณะแฝงตัวอยู่พื้นที่หมู่ 12 บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย โดยต้องสงสัยว่าจะเป็นสายลับ ให้กับประเทศกัมพูชานั้น ปรากฏว่า ญาติพี่น้องผู้ต้องสงสัยได้พาผู้นำหมู่บ้าน มายืนยันว่า นายบุญทิน มีอาการทางประสาท และขอรับตัวกลับบ้าน ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงได้ทำการบันทึกประวัติ และปล่อยตัวไปเรียบร้อยแล้ว เพราะยังขาดหลักฐานที่จะเอาผิด

นายกฯ พอใจ UNSC “สุเทพ” ยันไม่ถอนทหาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานผลการชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) แล้ว ซึ่งผลก็เป็นไปตามที่ไทยต้องการ คือ ยูเอ็นเอสซีขอให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบอย่างถาวร และให้ใช้แนวทางการเจรจาทวิภาคีในการยุติปัญหา โดยเชื่อว่าจะสามารถลดปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดนได้ อย่างไรก็ตาม ทางกัมพูชาไม่สามารถที่จะปฏิเสธแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เนื่องจากเป็นฝ่ายเสนอปัญหาเข้าสู่ยูเอ็นเอสซีเอง

ทั้งนี้ ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ จะใช้โอกาสในการหารือทวิภาคีกับกัมพูชา เพื่อเดินหน้ากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของกระบวนการทวิภาคีในการแก้ไขปัญหา และการห้ามยกระดับปัญหา รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานงานในหลายช่องทางแล้ว

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ยืนยันว่า ข้อเสนอของยูเอ็นเอสซี ที่สนับสนุนให้ไทย-กัมพูชา เจรจาแบบทวิภาคี จะไม่มีผลให้ไทยต้องขยับกำลังทหารออก กองทัพต้องตรึงกำลังไว้พร้อม และมติดังกล่าว ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความพยายามของกัมพูชาที่จะขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เชื่อว่าจากนี้ไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศน่าจะดีขึ้น

ขณะที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขา สมช. บอกว่ามติของยูเอ็นเอสซีเป็นไปตามคาด ชี้ไทยกัมพูชายังมีผลประโยชน์ร่วมกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ต้องรักษาไว้ พร้อมเตือนม็อบอย่ายั่วยุ

ที่มา เดลินิวส์

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ด่วน!เอฟ16ฝึกคอบร้าโกลด์ร่วง2ลำ

เอฟ16 กองทัพอากาศ ตก 2 ลำ ในอุทยานแห่งชาติตาดโตน ต.ท่าหินโงม จ.ชัยภูมิ ขณะเข้าร่วมฝึกคอบร้าโกลด์ 2011 เจ้าหน้าที่เร่งเข้าตรวจสอบ

วันนี้ (14 ก.พ.) พล.อ.ต.มณฑล สัชณุกร โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 10.20 น. เครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ เอฟ16 จำนวน 4 ลำ จากฝูงบิน 102 กองบิน 1 จ.นครราชสีมา ได้ขึ้นทำการบิน เพื่อการฝึกร่วมยุทธการทางอากาศ (คอบร้าโกล์ด) ร่วมกับกองทัพอากาศสหรัฐฯ บริเวณพื้นที่การฝึกของกองทัพอากาศ จ.ชัยภูมิ ทั้งนี้ เครื่องบิน เอฟ16 ได้ขาดการติดต่อเมื่อเวลา 10.20 น. เบื้องต้น สันนิษฐานว่า เกิดอุบัติเหตุทำให้เครื่องบินตกบริเวณน้ำตกตาดโตน จ.ชัยภูมิ

โดยขณะนี้ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงษ์ ผบ.ทอ. สั่งการให้หน่วยค้นหา และช่วยชีวิต น.ต.กฤษฎา สุขจันทร์ และ ร.อ.ชัชชานนท์ พรหมเดช โดยนำเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ แบบ ฮ.6 และรถยนต์ภาคพื้นเข้าไปสำรวจ และค้นหานักบิน พร้อมตรวจสภาพเครื่องบินบริเวณดังกล่าวแล้ว คาดว่า จะทราบรายละเอียดในเร็ว ๆ นี้

อย่างไรก็ตาม ผบ.ทอ.แสดงความเป็นห่วงกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อย่างมาก โดยทางกองทัพอากาศกำลังดำเนินการประสานหน่วยต้นสังกัด เพื่อขอทราบรายงานในรายละเอียดของอุบัติเหตุต่อไป

เมื่อเวลา 16.00น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ว่า ได้รับรายงานแล้ว สาเหตุยังไม่ทราบ แต่ได้รับทราบถึงเหตุการณ์แล้ว ซึ่งกระทรวงกลาโหมก็ต้องเร่งไปดู เท่าที่ทราบตามที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมรายงานเกิดเหตุในช่วงของการฝึกคอบบร้าโกลด์ และเท่าที่ตรวจสอบทราบว่านักบินไม่ได้เสียชีวิตสามารถดีดตัวออกมาได้.

ที่มา เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ร้องโรคจิตแอบถ่ายห้องน้ำ ตร.หญิง บช.น.-เหยื่อ 8 ราย!

ร้องโรคจิตแอบถ่ายห้องน้ำ ตร.หญิง บช.น.-เหยื่อ 8 ราย! ตร.หญิง บก.อก.บช.น.ตกเป็นเหยื่อโรคจิตแอบถ่ายขณะทำกิจส่วนตัวในห้องน้ำ เผยสังเกตเห็นแสงไฟสีแดงที่ผ้าเช็ดมือลูกบิดประตูลักษณะคล้ายปากกาแอบถ่าย ก่อนเปิดประตูออกมาพบ ตร.นายหนึ่งท่าทางพิรุธ จึงให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบปากกาดังกล่าว ผงะมี ตร.หญิงเป็นเหยื่อ 8 ราย ระบุร้องเรียนไม่คืบ

วานนี้ (8 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้รับการร้องเรียนจาก ส.ต.ต.หญิง รายหนึ่ง (ไม่ขอเปิดเผยนาม) สังกัด บก.อก.บช.น.ว่าถูกโรคจิตใช้กล้องไฮเทคแบบดิจิตอล ลักษณะคล้ายปากกา แอบถ่ายในห้องน้ำหญิงโดยตั้งกล้องไว้ใต้ลูกบิดประตูห้องน้ำแล้วใช้ผ้าเช็ดมือปิดบังอำพรางเอาไว้ เหตุเกิดบริเวณชั้น 2 ฝั่งห้องทำงานของนายตำรวจระดับรอง ผบช.น. หรือซอยนายพล อาคาร บช.น. เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2553 ส.ต.ต.หญิงสาวรายนี้ได้มีการร้องเรียนแจ้งเรื่องดังกล่าวต่อ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย ผบก.อก.บช.น.ทราบ และประสาน พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต ให้มาสอบสวนเป็นการภายในหลังจากปีใหม่ผ่านไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงรายดังกล่าวระบุว่า วันเวลาที่เกิดเหตุขณะที่ตนทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำดังกล่าว สังเกตเห็นแสงไฟสีแดงที่ผ้าเช็ดมือลูกบิดประตู จึงรีบเปิดประตูออกจากห้องน้ำทันที พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจชายนายหนึ่งที่ทำงานอยู่สำนักงาน รอง ผบช.น.ท่านหนึ่ง รีบเดินหนีอย่างเร็ว จึงได้ตะโกนเรียกแต่ตำรวจนายนั้นไม่ยอมหยุด กลับไปห้องทำงานทันที ตนได้ติดตามไปพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชายนายนั้นพกกล้องดิจิตอลลักษณะเป็นปากกาแบบใช้แอบถ่ายที่มีขายตามท้องตลาด เมื่อสอบถามก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไปบันทึกหรือแอบถ่ายแต่อย่างใด จึงขอพิสูจน์ด้วยการเปิดดู ซึ่งก็ไม่พบภาพใดๆ ในหน่วยความจำในกล้องปากกาด้ามดังกล่าว

ตนจึงได้ไปเล่าให้สารวัตรที่เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงทราบ ก่อนจะไปแจ้งต่อ ผบก.อก.บช.น.ทราบในเวลาต่อมา ซึ่งสารวัตรผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตนได้ร้องขอให้ทำการตรวจสอบกล้องดิจิตอลดังกล่าวด้วยการนำไปกู้ข้อมูลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีการถ่ายจริง โดยได้ดำเนินการกู้ข้อมูลจากหน่วยความจำกล้องดังกล่าว พบว่ามีภาพที่ถูกแอบบันทึกภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงในสำนักงานต่างๆ บก.อก.บช.น.จำนวน 8 ราย ขณะเข้าไปทำธุระส่วนตัวภายในห้องน้ำ พร้อมกันยังมีภาพใบหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจชายคนที่เป็นเจ้าของกล้องปากกาดังกล่าวบันทึกไว้ด้วย

“หลังจาก สน.ดุสิต ได้ตรวจสอบเหตุดังกล่าวจนระยะเวลาล่วงเลยมากว่า 1 เดือน แต่ไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชายคนดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ส่งตัวกลับไปต้นสังกัดเดิมโดยไม่มีการพิจารณาดำเนินการใดๆ แม้จะมีผู้เสียหายเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่ถูกแอบถ่ายถึง 8 ราย ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีการวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงใน บก.อก.บช.น.อย่างหนาหูว่า เป็นเพราะพ่อของเจ้าหน้าที่ตำรวจชายคนนั้นเป็นเพื่อนกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงใน บช.น. จึงไม่มีการพิจารณาข้อกบพร่องเอาผิดทางวินัย เพื่อให้เรื่องเงียบไปในที่สุด” เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงรายดังกล่าว กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงรายอื่นๆ ภายใน อก.บช.น. รวมทั้งนักการภารโรงหญิง และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายได้รับการยืนยันว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ขอพูดรายละเอียด เกรงจะถูกผู้บังคับบัญชาไม่พอใจที่ไม่ต้องการให้เรื่องครึกโครมเกิดความเสื่อมเสียต่อหน่วยงาน นอกจากนี้ยังต้องการทราบถึงความคืบหน้าการดำเนินการและติดตามจับกุมผู้กระทำผิด รวมทั้งเหยื่อที่ถูกแอบถ่ายเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชายยศชั้นประทวนนายหนึ่งซึ่งเป็นคนขับรถของนายตำรวจระดับนายพลใน บช.น. ที่เหยื่อสงสัยว่าเป็นผู้ที่ลงมือก่อเหตุนั้น

ทาง บช.น.ได้มีการสืบสวนสอบสวนแล้วมีผลเป็นอย่างไร พร้อมทั้งเอาผิดทางวินัยหรืออาญาได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอีกทั้งเหตุที่เกิดขึ้นข้างห้องทำงานของรอง ผบช.น.อีกด้วย นอกจากนี้ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่เป็นตำรวจหญิงที่เพิ่งสอบบรรจุเข้ามาใหม่ได้ประมาณ 4-5 เดือน

ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบไปยัง พ.ต.อ.จักรภพ สุคนธราช ผกก.สน.ดุสิต ในเรื่องดังกล่าวว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนที่ไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่ยินยอมมอบกล้องดิจิตอลแบบปากกาที่ยึดมาได้ให้ไปทำการตรวจสอบเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางคดี โดยให้เหตุผลว่าเกรงว่าภาพที่ถูกแอบบันทึกเอาไว้จะถูกเผยแพร่ออกไปจะได้รับความอับอายมากยิ่งขึ้น ขณะนี้ขึ้นอยู่กับทางผู้เสียว่ามีความประสงค์อย่างไร ถ้าต้องการให้ดำเนินคดีก็พร้อมที่จะทำให้ทันที ไม่ใช่เป็นเรื่องการช่วยเหลือกันแต่อย่างใด
ที่มา manager

จับคาห้าง! ไฮโซสาว “อลิสา นานา” ฉกยกทรง-กระเป๋าแบรนด์เนมกว่าแสน

จับคาห้าง! ไฮโซสาว “อลิสา นานา” ฉกยกทรง-กระเป๋าแบรนด์เนมกว่าแสน กลุ่มผู้ค้าสินค้าแบรนด์เนมในห้างสยามดิสคัฟเวอรี่-พารากอน ไล่จับไฮโซสาว “อลิสา นานา” อดีตผู้สมัครเอเอฟ ซีซัน 4-5 ได้คาห้าง หลังเจ้าตัวตระเวนฉกชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ กระเป๋า แบรนด์เนมดัง รวมมูลค่ากว่า 1 แสนบาท ญาติโร่ขึ้นโรงพักขอเคลียร์ยอมคืน-ชดใช้ตามราคาสินค้า จนกลุ่มผู้ค้าไม่เอาความ แต่ตำรวจต้องแจ้งข้อหาลักทรัพย์ ก่อนยื่นประกันตัว-หลบสื่อกลับทันที

เมื่อเวลา 16.00 น.วานนี้ (12 ก.พ.) ที่ สน.ปทุมวัน ได้มีกลุ่มผู้ค้าชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ และกระเป๋าแบรนเนมยี่ห้อดัง ภายในห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามพารากอน กว่า 10 ราย ควบคุมตัว น.ส.อลิสา หรือ อริส หรือ มิล นานา อายุ 22 ปี สาวไฮโซและเป็นอดีตผู้สมัครประกวดร้องเพลงอคาเดมี แฟนเทเซีย AF4 และ AF5 พร้อมของกลางสินค้าแบรนด์เนม จำพวกกระเป๋า เสื้อยกทรง-กางเกงใน แบบบีกินี ยี่ห้อ INSIGHT ชุดว่ายน้ำ ยี่ห้อ SALINAS รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท ซุกซ่อนอยู่ในถุงผ้าท้ายรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีอาร์วี สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ภร 6565 กทม. มาส่งให้ พ.ต.ท.หญิง กิ่งกาญจน์ กาญจนไพศาล พนักงานสอบสวน (สบ2) สน.ปทุมวัน ดำเนินคดี หลังจากเจ้าตัวก่อเหตุลักทรัพย์สินค้าภายในร้านขายสินค้ายี่ห้อแบรนด์เนมในห้างดังกล่าว จนถูกจับกุมตัวได้

จากการสอบถามกลุ่มผู้เสียหาย ก็ได้รับการเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา น.ส.อลิสา ได้เข้ามาเดินชอบปิ้งภายในห้างสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามพารากอน โดยทำทีเข้าไปดูสินค้าภายในร้านและขอลองสินค้า แต่พอพนักงานขายเผลอก็จะฉกสินค้าออกจากร้านไป โดยเจ้าตัวก่อเหตุแบบนี้มาหลายร้านแล้ว จนกระทั่งช่วงบ่ายข่าวการถูกลักทรัพย์ตามร้านค้าต่างๆ ในห้าง ก็เริ่มแพร่ขยายไป ทางผู้เสียหายจึงรวมตัวมาขอดูกล้องวงจรปิดของห้าง ก็พบว่า ผู้ที่ก่อเหตุเป็นหญิงคนเดียวกันทั้งหมดทุกร้าน จึงช่วยกันตามหาตัวจนกระทั่งสามารถจับตัวเอาไว้ได้พร้อมสินค้าของกลางที่ซุกซ่อนอยู่ในถุงผ้า ก่อนควบคุมตัวมาส่งให้ตำรวจดำเนินคดี

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจรับ น.ส.อลิสา มาแล้ว ก็ได้ควบคุมตัวเข้าไปสอบปากคำห้องสอบสวนเด็กและเยาวชน จนเวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ได้มีหญิงวัยกลางคน ซึ่งอ้างตัวเป็นแม่ของ น.ส.อลิสา นั่งรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ด สีขาว เดินทางมาที่โรงพัก ก่อนจะเข้าไปในห้องสอบสวน หลังจากนั้น อีกประมาณ 2 ชั่วโมง กลุ่มผู้ค้าของห้างสยามดิสคัฟเวอรี่ ประมาณ 5-6 ราย ก็ได้เดินทางกลับ ก่อนจะเปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า ญาติของ น.ส.อลิสา ยินดีเสียค่าปรับตามจำนวนสินค้าที่ขโมยมา พร้อมกับคืนสินค้าให้ทางร้าน จึงไม่ติดใจเอาความ ก่อนที่จะมีตัวแทนสำนักงานกฎหมายของห้างสยามพารากอน ได้เข้าไปในห้องสอบปากคำ

ต่อมา นายสมบัติ ปุริตัง ผจก.ส่วนรักษาความปลอดภัยของห้างสยามพารากอน ออกมาเปิดเผยว่า หลังทราบข่าว ทางผู้บริหารก็ให้ตนมาดูคดีนี้ เนื่องจากทราบว่ามีผู้สื่อข่าวมาทำข่าวเป็นจำนวนมาก โดยเบื้องต้นมีคดีเกิดขึ้นจริง และมีผู้เสียหายหลายราย โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพขณะผู้ต้องหากำลังก่อเหตุเอาไว้ได้ ทางห้างจึงให้ตนเป็นตัวแทนการเจรจา และทางผู้ปกครองของผู้ต้องหาก็ยอมจ่ายเงินตามราคาเป็นจริง ทางผู้ค้าจึงไม่ติดใจเอาความ แต่ในส่วนตำรวจจะดำเนินคดีอย่างไรก็ว่าไปตามกฎหมาย

ด้าน พ.ต.ท.อัครวินต์ สุคนธวิท รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน กล่าวว่า คดีนี้มีผู้เสียหายหลายราย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ติดใจเอาความ เนื่องจากผู้ปกครองของผู้ต้องหายอมจ่ายเงินชดใช้ตามราคาที่เสียหาย แต่ตำรวจต้องแจ้งข้อหาลักทรัพย์ ไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่ว่าผู้ก่อเหตุจะทำไปด้วยความคึกคะนอง หรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ส่วนหลักทรัพย์ถ้าจะประกันตัวในคดีนี้ ก็ใช้หลักทรัพย์ประมาณ 30,000-40,000 บาท

ต่อมาเวลาประมาณเวลา 23.00 น.หลังจากพนักงานสอบสวนทำการสอบปากเสร็จสิ้น น.ส.อลิสา กับผู้ปกครอง ก็หาทางหลบสื่อมวลชนที่รอสอบถามข้อเท็จจริงอยู่ที่หน้าโรงพัก เดินทางกลับไปไปทันที ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแต่อย่างใด
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
ที่มา manager

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

'แพนเค้ก' เซย์โน 'เป้' เล็งซื้อบ้านใกล้ โต้โกยอีเว้นท์จนถูกเตือน

แพนเค้ก-เขมนิจ ปัดเป้-อารักษ์ จะซื้อบ้านอยู่ใกล้ตนเอง แจงเรื่องบ้านเวียร์ที่อยู่ติดกันรอเคลียร์ให้ชัดเจนค่อยบอก โต้รับงานอีเว้นท์เยอะจนกองละครรอนาน-คุณแดงเตือนเสียค่าปรับ เผยตั้งใจเรียนจบเร็วๆนี้...

พักหลังข่าวฉาวโหมกระหน่ำนางเอกหน้าหมวย แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ซะเหลือเกิน ล่าสุดหลังควงนางเอกลูกครึ่ง ขวัญ-อุษามณี เคลียร์ข่าวสยบเกาเหลาไปแล้วในงานฉลองครบรอบ 26 ปีนิตยสาร Bride ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ก็ถึงคราวที่ แพนเค้ก ต้องเคลียร์ข่าวตัวเองอีกครั้ง ทั้งเรื่องที่อินเลิฟนอกจอกับ เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ จนฝ่าย เป้ เล็งซื้อบ้านใกล้ แพนเค้ก รวมถึงเรื่องที่ แพนเค้ก โหมรับงานอีเว้นท์หนัก ทำให้กองถ่ายละครต้องรอนาน จนบอส 7 สี คุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ต้องออกโรงเตือนว่าหากดาราในสังกัดคนใดรับงานอีเว้นท์เยอะจนเสียเวลาถ่ายทำละครจะต้องเสียค่าปรับด้วย
มีข่าวว่าเป้จะไปซื้อบ้านใกล้แพนเค้ก? "ไม่มีแน่นอนค่ะ" ในส่วนของบ้าน เราเคลียร์กันยังไงเพราะกระแสค่อนข้างแรง? "จริงๆเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแล้วนะคะ มันก็เป็นเรื่องในครอบครัวมากกว่า เราก็พยายามเคลียร์แจกแจงทุกอย่างให้เรียบร้อยค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ ไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ" ตอนนี้บ้านหลังนั้นยังเป็นของเวียร์? "เอ่อ เป็นของแพนค่ะ" บ้านที่เวียร์ซื้อติดกันตอนนี้ขายให้แพนเค้กเรียบร้อยแล้ว? "เอ่อ... เดี๋ยวไว้แจกแจงอีกทีดีกว่าเนอะ ให้เราได้คุยกันในครอบครัวได้จัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อน" แปลว่าตอนนี้ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเวียร์อย่างชัดเจน? "ใช่ค่ะ" ตอนนี้ความรู้สึกแพนเป็นไงบ้างหลังเจอกระแสข่าวโหมกระหน่ำ? "ก็โอเคนะคะ แพนมองว่าไม่ได้เป็นเรื่องอะไรที่หนักหนาหรือเยอะจนเกินไป แพนว่าเราก็ยังทำงานตามปกติค่ะ"

มีข่าวว่าเรารับจ๊อบเยอะ จนคุณแดงเตือนว่าถ้าดาราในช่องรับจ๊อบเยอะจนเสียเวลาถ่ายละครจะโดนปรับ? "โดนปรับด้วยเหรอคะ ยังไม่มีนะคะ ยังไม่ได้ทราบนโยบายนี้ขึ้นมา แต่แพนเชื่อว่าตลอดเวลาที่ทำงานกันมา คุณแดงให้อิสระในการทำงานพอสมควร แพนเชื่อว่าทุกคนมีวิธีการดูแลจัดระบบของตัวเองอยู่แล้วค่ะ" แล้วที่เรารับจ๊อบเยอะจนกองถ่ายต้องรอนานจริงไหม? "เอ่อ เราก็ได้แจกแจงตามรายละเอียดที่แน่นอน เพราะช่วงนี้ส่วนใหญ่ก็ไปเรียนด้วยค่ะ ถ้าไปก็คงจะไปเรียนซะมากกว่า" อย่างนี้ต้องคัดงานเพิ่มขึ้นไหม? "ไม่ค่ะ ปกติเราดูแลงานของเราอยู่แล้วค่ะ" ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใหญ่ติงเรื่องนี้? "ไม่มีค่ะ" มีลิมิตเยอะไหมในการรับ? "ไม่ค่ะ ปกติช่วงนี้ส่วนใหญ่ไปเรียนมากกว่าค่ะ" ตอนนี้ยังเหลือเรียนอีกเยอะไหม? "ไม่เยอะมากแล้วค่ะ ต้องเร่งทำคะแนนยังไงบ้างคือถ้ามันเร็วที่สุดก็ดีค่ะ เราจะได้จัดเวลาในส่วนอื่นได้ลงตัวมากขึ้นค่ะ" เพื่อนๆช่วยเรื่องเรียนบ้างไหม? "มีค่ะ มีเยอะ มีน้องๆมีอาจารย์ น่ารักมาก ก็พยายามช่วยเพราะก็รู้ว่าถ้าเราจบไปเลยให้เรียบร้อยก็น่าจะโอเคค่ะ มหาวิทยาลัยน่ารักมากค่ะ"

แพนตั้งใจว่าจะเรียนจบเมื่อไหร่? "จริงๆน่าจะจบเร็วๆนี้ค่ะ แพนกำลังดูว่าเราน่าจะสามารถลงอะไรได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ อย่างงานกลุ่มก็บอกน้องๆว่าถ้ามีอะไรก็บอกพี่นะ มีอะไรก็ช่วยกัน โทรมาคุยกันหรือเมล์มาคุยกันค่ะ" มีกระทู้ตามเว็บไซต์ว่าที่แพนยังเรียนไม่จบเพราะว่าไม่ยอมช่วยงานกลุ่ม เพื่อนก็แบน? "อ๋อ จริงๆเพื่อนแพนก็จบไปกันซะส่วนใหญ่นะคะ ตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นน้องๆมากกว่าค่ะ น้องๆก็น่ารักทุกคน ต้องบอกว่าน้องๆช่วยมากๆค่ะ ก็เข้าร่วมตลอด ไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้ค่ะ" เรื่องการเรียนก็ยังเน้นอยู่? "ใช่ค่ะ ก็ยังเรียนอยู่ตามปกติค่ะ มีเรียนทุกวันค่ะ ก็ไปเรียนกับน้องๆ สนุกดี น้องๆน่ารัก ไม่เขินค่ะ คือน้องๆเป็นน้องที่เราคุ้นๆกันอยู่แล้วค่ะ เรามีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็โอเค ตอนนี้ก็อยู่ปี 5 ค่ะ จะพยายามเรียนให้จบเร็วที่สุด ถ้าทำได้ก็ดีค่ะ" เห็นเพื่อนๆเรียนจบหมดแล้วเป็นยังไงบ้าง? "ไม่เป็นไรค่ะ ก็ดีค่ะ แพนก็ไปร่วมแสดงความยินดีด้วยค่ะ" มีแพลนจะต่อปริญญาโทไหม? "ก็เดี๋ยวให้จบตรงนี้ก่อนแล้วกันนะคะ".
ที่มา : www.thairath.co.th

36 คู่รักร่วมงานวิวาห์ใต้สมุทรตรัง หวานชื่นฉลองวันวาเลนไทน์

การจัดงานวิวาห์ใต้สมุทร จ.ตรัง 2011 สุดชื่นมื่น คู่บ่าวสาวแห่ร่วมงาน 36 คู่ สุดประทับใจได้ชมความงามปะการังน้ำตื้น...

บรรยากาศการจัดงานพิธิวิวาห์ใต้สมุทร 2011 ซึ่งเป็นการจัดอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 ซึ่งในปีนี้มีคู่บ่าวสาวเข้าร่วมงานจำนวน 36 คู่ โดยเมื่อ เวลา 10.00 น.วันที่ 12 ก.พ.นายไมตรี อินทุสุต ผวจ.ตรัง นายสุรินทร์ โตทับเที่ยง รองประธานหอการค้าไทย และนายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้า จ.ตรัง ได้นำคณะคู่บ่าวสาว จำนวน 36 คู่ เดินทางออกสู่ทะเลตรัง มุ่งหน้าไปยังเกาะกระดาน อ.กันตัง จ.ตรัง ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธี
โดยมีประชาชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินทางไปรอชมพิธี จากนั้นคู่บ่าวสาว จำนวน 8 คู่ ได้ร่วมดำน้ำจดทะเบียน บริเวณแนวชายหาดด้านหน้าเกาะกระดาน โดยหลังจากเสร็จพิธีคณะของคู่บ่าวสาวทั้งหมดได้เดินทางไปชมความงามของปะการังน้ำตื้น ตามหมู่เกาะต่าง ๆ พร้อมทั้งร่วมกันปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำคืนสู่ธรรมชาติ สร้างความประทับใจให้กับคณะทั้งหมดเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ นายสุรินทร์ กล่าวว่า พิธีวิวาห์ใต้สมุทร ที่จัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้เป็นปีที่ 15 ถือเป็นพิธีวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่พิธีหนึ่งใน จ.ตรัง ซึ่งทางหอการค้า จ.ตรัง ได้ทุ่มเทจัดงานนี้เพื่อเป็นการประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของประเทศไทย และ จ.ตรัง มีความสวยงามแค่ไหน ซึ่งตนและชาวตรัง ต่างรู้สึกยินดีที่มีเสียงตอบรับเป็นอย่างดีในทุกปี ซึ่งทางหอการค้า จ.ตรัง ยังคงจัดกิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่องตลอดไป เพื่อกระตุ้นในเรื่องของการท่องเที่ยวทางหนึ่งด้วย

ที่มา : www.thairath.co.th

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กบ-สุวนันท์ อุ้มท้อง7ด.เตรียมเป็นแม่มือใหม่

นางเอกสาวชื่อดัง กบ อุ้มท้อง 7 เดือน ดีใจเป็นแม่มือใหม่ บรุ๊ค-ดนุพร คอยประคับประคอง

วันนี้ 7 ก.พ.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต มีการจัดงานครบรอบ 1 ปี เซเลเบรชั่น แอด สุวนันท์ อคาเดมี่ โดยมีกบ สุวนันท์ ปุณณกันต์ (คงยิ่ง) นางเอกสาวชื่อดัง กับบรู๊ค-ดนุพร ปุณณกันต์ สามี อดีตพระเอกชื่อดัง มาร่วมงาน โดยกบ-สุวนันท์ อยู่ในชุดคลุมท้อง บรุ๊ค-ดนุพร คอยประคับประคองตลอดเวลา โดยกบ-สุวนันท์ กล่าวว่า ขณะนี้อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือนแล้ว คาดว่าเมื่ออายุครรภ์เข้าสู่เดือนที่ 8 น่าจะหยุดรับงานและทำงานต่างๆ ขอนอนพักผ่อนที่บ้านเพื่อเตรียมตัวคลอดลูก ซึ่งล่าสุดไปอัลตร้าซาว์ดมา 2 ครั้งยังไม่เห็นเพศลูกว่าเป็นชายหรือหญิง แพทย์ระบุว่าเด็กไม่อ้าขาเลยไม่เห็นเพศทำให้คาดเดากันเองว่าน่าจะเป็นผู้หญิง

“ตอนนี้ได้เตรียมตัวเป็นคุณแม่มือใหม่แล้ว ด้วยการหนังสือบ้างส่วนใหญ่เป็นนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่ คุณลูก และจะอ่านบทความจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องของคุณแม่ ที่มีประสบการณ์ รวมทั้งส่วนใหญ่ก็จะปรึกษาคุณหมอ ซึ่งทั้งคุณแม่พี่บรู๊คและคุณแม่ของกบเอง ก็จะเป็นคนช่วยให้คำแนะนำด้วย แต่คนที่ช่วยเหลือกบได้มากจริง ๆ ก็คือพี่บุ๋ม น้องสาวของพี่บรู๊ค เพราะเขาเองก็เพิ่งคลอดเมื่อเดือนม.ค. นี้ พอได้เจอกันทุกครั้ง ก็จะถามทุกเรื่องเช่น จะเป็นยังไง จะคลอดยังไง แม้แต่เรื่องบล็อกหลัง รวมทั้งของต่าง ๆ ที่เคยใช้ พี่เขาก็จะโอนมา ซึ่งช่วงที่ท้อง กบก็มีแพ้ท้องบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ก็จะเหนื่อยง่าย และค่อนข้างปวดหลังค่ะ ส่วนการคลอดนั้นรู้สึกกลัวเหมือนกันแต่พี่บรุ๊คก็ให้กำลังใจตลอด” กบ-สุวนันท์ กล่าว

บรู๊ค-ดนุพร กล่าวว่า ช่วงที่น้องสาวคลอดตนไม่ให้กบไป เพราะไม่อยากให้เขาเห็น กลัวเขาจะกลัว แต่เวลาที่กลับบ้าน เขาก็ไปดูอินเทอร์เน็ตอีกทำให้กบรู้สึกกลัวการคลอดแต่ก็ให้กำลังใจตลอด อยากให้ลูกคลอดมาแบบสมบูรณ์ ได้เตรียมของใช้แล้วส่วนใหญ่เป็นสีชมพูเพราะคิดว่าลูกน่าจะเป็นผู้หญิง ส่วนจะมีทายาทเพิ่มอีกหรือไม่ขอคุยกับกบก่อนเพราะรู้สึกสงสารที่ต้องตั้งครรภ์ ขณะที่กบ-สุวนันท์ กล่าวเสริมว่า เมื่อเห็นภาพคลอดทั้ง 2 แบบ รู้สึกกลัวมาก ร้องไห้เลย โดยตนเองอยากเลือกคลอดแบบธรรมชาติ กำหนดช่วงเดือนเม.ย.ต่อเนื่องพ.ค. ที่รพ.สมิติเวช ไม่ได้ไปคลอดที่ต่างประเทศตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ และหลังคลอดแล้วนั้นขอเลี้ยงลูกเอง งานการแสดงจะต้องพักหรือไม่นั้นเป็นเรื่องอนาคตบอกล่วงหน้าไม่ได้

ที่มา เดลินิวส์

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เวลาการทูตชั้นครู ไทย-เขมร แปรสนามรบเป็นตลาด

จากที่ ’ตึงเครียด“ อยู่แล้ว อันเนื่องจากข้อพิพาทเขตแดน เขตพื้นที่ทับซ้อนบริเวณ เขาพระวิหาร พอเกิดเหตุการณ์ทหารกัมพูชาจับ 7 คนไทย นำโดย วีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ กับ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ ไปขังคุก ความตึง เครียดระหว่าง ไทย-กัมพูชา ก็ยิ่งเขม็งเกลียว ซึ่งแม้คนไทยกลุ่มนี้จะได้ประกันตัวแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่อีก 2 ราย คือ วีระ และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ล่าสุดทางศาลกัมพูชาได้ตัดสินจำคุก 8 ปี และ 6 ปี รวมทั้งปรับเงินอีก 1.8 ล้านเรียล และ 1.2 ล้านเรียล ตามลำดับ ขณะที่กระแสกดดันให้รัฐบาลไทยเล่นบทเข้มกับกัมพูชาก็เชี่ยวกรากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่เท่านั้น ระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชา ต่างก็มีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการระบุผ่านสื่อมวลชน การที่ทหารกัมพูชาชักธงชาติกัมพูชาตรงประตูทางเข้าวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เขตพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหารแล้วทหารไทยตอบโต้ด้วยการชักธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสาใกล้กับสถูปคู่ติดกับฐานตรวจการณ์ผามออีแดง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และโดยเฉพาะการเตรียมกำลังทหารของทั้งฝ่ายกัมพูชาและไทย

ประเทศเพื่อนบ้าน ไทย-กัมพูชา มีแต่ความตึงเครียดตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา นโยบายทำ สนามรบเป็นตลาด ที่เคยนำความรุ่งเรือง และความร่วมมือของเพื่อนบ้านกลับคืนมา กำลังถูกสั่นสะเทือนเพราะนโยบายต่างประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้? คนไทยเคยมีสุภาษิตว่า ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว นับว่ายังใช้ได้เสมอหนังสือของ เอก อนันต์ ชื่อ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย การทูตไทยในเวทีสากล มุมมองผ่านผู้สมัครเลขายูเอ็น และอดีต รมว. คลังและการต่างประเทศ (รมต.บัวแก้วที่เก่งสุดคนหนึ่งเท่าที่ไทยเคยมีมา...ข่าวสกู๊ปเดลินิวส์) ช่างมาได้ทันเวลาจริง ๆ มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง การทูตชั้นครู การทูตขั้นเทพ ที่คนทำหน้าที่ขณะนี้ สมควรจะหามาอ่านประดับสติปัญญาอย่างมาก

เช่น ในบทที่ 4 สัมพันธ์ข้ามมิติ สุรเกียรติ์–ฮุนเซน สืบเนื่องแต่คืนวันหฤโหด เมื่อ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ วางระเบิด ตอนหนึ่งในหน้า 57.... มีอยู่วันหนึ่ง สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเชิญท่านนายกฯชาติชายไปพูดที่โรงแรมโอเรียนเต็ล พูดเสร็จ นักข่าวถาม “น้าชาติ” ว่า ท่านคิดจะแก้ปัญหากัมพูชาให้เกิดสันติภาพอย่างไร ท่าน
บอก ไอ อินไวท์ ฮุนเซน อินไทยแลนด์ ทู แบงคอก (แปลว่า ผมจะเชิญท่านฮุนเซนมากรุงเทพฯ) ...วงแตกสิ

ข่าวใหญ่ระดับโลก นักข่าวตกอกตกใจเพราะ 15 ปีแล้วที่ไทยไม่เคยคุยกับ “ฮุนเซน” เลย คงจำได้ เราได้รับรองเขมร 3 ฝ่าย มีเขมรแดง เขมรเสรี และก็กลุ่มของเจ้าสีหนุ ส่วนเขมรฝ่ายที่ 4 คือ ฮุนเซน เราไม่รับรอง ตอนนั้นเราถือนโยบายว่าฮุนเซนมาจากรัฐบาลเฮงสัมริน ซึ่งเวียดนามเข้ามาบุกรุก เราจึงไม่ยอมรับรอง กระทรวงการต่างประเทศ สมัยนั้นยึดจุดยืนนี้มาตลอด จีนเองก็สนับสนุนเขมร 3 ฝ่าย อเมริกาก็สนับสนุนเขมร 3 ฝ่าย ทุกคนต่างไม่รับรองฝ่ายของฮุนเซนมาตลอด แล้วเราจะไปรับรองและอยู่ดี ๆ จะเชิญเขามาไทยอีกต่างหาก!?!

น้าชาติพูดเสร็จก็ขึ้นรถกลับบ้าน ทำเอาทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลกขนหัวลุก คาดไม่ถึง ประโยคนั้นจะหลุดออกจากปากนายกฯไทย ทุกคนประเมินว่า ไม่มีทางเป็นอื่น นอกจาก น้าชาติเผลอหลุดปากแหง ๆ สรุปง่าย ๆ งานนี้พลาดไปแล้ว ทีมบ้านพิษฯรุดไปพบน้าชาติที่บ้าน แล้วน้าชาติก็เดินยิ้มแย้มแจ่มใสเอามือลูบหน้านั่งรออยู่ พวกเรามีอะไรกันหรือ... พวกเรากังวลมาก... เออ... “ผมตั้งใจพูดเองแหละ” ทีมบ้านพิษฯแทบหงายหลังตกเก้าอี้... “เมื่อกระทรวงการต่างประเทศไปเชิญเขามาไม่ได้ เพราะไม่รับรองรัฐบาลเขา ก็ใช้ทางทหารแล้วกัน ทหารเราก็ติดต่อเขาอยู่ เชิญเขามาเมืองไทย บอกเขาผมอยากคุยด้วย คุณไปหาวิธีการมา ทำอย่างไรก็ได้”

’เราต้องการสันติภาพในกัมพูชาหรือเปล่า“ น้าชาติถาม

“ถ้าอย่างนั้น สมมุติคุณมีลูก 4 คนทะเลาะกันอยู่ ลูกคนที่ 4 เป็นลูกที่มีพลังมากที่สุด เป็นลูกที่ปกครองบ้านนี้อยู่ แต่ 3 คนไม่ได้ปกครองบ้าน คนในบ้านเป็นคนของลูกคนที่ 4 หมด คุยกับ 3 คนมา 10 กว่าปีแล้ว คุณไม่คุยกับคนที่ 4 มันจะเกิดสันติภาพได้อย่างไร มันจะเลิกทะเลาะกันได้อย่างไร คุณต้องคุยกับทุกฝ่าย ผมอยากคุยกับเขา.... ”

’ลองทำวิธีผมดูบ้าง“ น้าชาติตัดบท... “ผมจะเชิญท่านนายกฯฮุนเซนมากรุงเทพฯ” หลังจากนั้น ก็คือ กุศโลบายที่ ดร.สุรเกียรติ์และทีมบ้านพิษฯต้องดำเนินการทุกวิถีทางให้ “ฮุนเซน” เดินทางเข้ากรุงเทพฯให้ได้ โดยมีเงื่อนไข ไม่ผิดธรรมเนียมทางการทูต มีการกำหนดสคริปต์ให้ “ฮุนเซน” ไปเวียงจันทน์ก่อนแวะเข้าไทยในเวลาต่อมา กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก

ไทยได้หน้าได้ตาในฐานะพี่ใหญ่ที่นำสันติภาพกลับคืนสู่ภูมิภาคนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสันติภาพไทย-กัมพูชา ยุคใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นนโยบายแปรสนามรบเป็นตลาด ประชาชน 2 ฝั่งทำมาค้าขายกันอย่างพี่น้อง พื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร ก็จะพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ร่วมกัน ผลประโยชน์ทางทะเลก็มาเจรจากันต่อไป ...วิน-วิน ทั้ง
2 ฝ่าย

’การทูตชั้นครู“ เขาทำกันอย่างนี้

’ไม่ทำสงคราม“ เพราะมันไม่มีใครได้หรอก

มีแต่พังพินาศกันทุกฝ่าย ใช่ไม่ใช่...ลองตรองดู.
ที่มา สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไทย-เขมรปะทะเดือดกันแล้วบนภูมะเขือ

ยิงปะทะเดือด ทหารไทย-เขมร ใกล้พระวิหาร กระสุนตกฝั่งไทยกว่า 10 ลูก แม่ทัพภาค 2 ยันทหารเขมรลงมือยิงก่อน
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ บริเวณด่านตรวจที่ 1 สะพานห้วยดาน ถนนวิหาร หมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหาร 10 กม. ว่า ทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี และกองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 พร้อมอาวุธครบมือ ยังคงห้ามบุคคลภายนอกและยานพาหนะ ที่ไม่เกี่ยวกับกองทัพไทย ผ่านเข้าออกอย่างเด็ดขาด เนื่องจากทหารในสังกัดกองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 ได้ทำการซ้อมรบตามยุทธวิธีทหาร ที่บริเวณเทือกเขาพนมดงรักใกล้กับพื้นที่พิพาทเชิงเขาพระวิหาร

โดยทหารเกณฑ์และทหารอาสา ได้ทำการฝึกขุดหลุมหลบภัยหลังเขตแดน และขุดหลุมดินขนาดใหญ่ เอากระสอบบรรจุทรายมาวางเรียงและใช้ดินที่สั่งซื้อจากเอกชนมาถมทับทำเป็นเนิน พร้อมนำผ้าใบมากางบังแดดกันฝน สร้างเป็นบังเกอร์เรียงรายหลายร้อยหลุม ท่ามกลางสายตาของทหารกัมพูชา ที่ตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่พิพาท ซึ่งเฝ้าดูการฝึกของทหารไทย อย่างให้ความสนใจ ส่วนทหารกรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 กองทัพภาคที่ 2 ได้เคลื่อนปืนใหญ่ รุ่นจีเอชเอ็น 45 ขนาด 155 มม. และรุ่นแอลจี 1 เอ็มเค 2 ขนาด 105 มม. เข้าประจำการตามฐานต่างๆ เสริมกับกองทัพรถถังหลักรุ่นเอ็ม 60 เอ 1 และเอ 3 ที่เข้าประจำการก่อนหน้านี้แล้ว

แหล่งข่าวทหารกัมพูชา เปิดเผยว่า ทหารการข่าวกัมพูชา ได้รับคำสั่งให้ติดตามความเคลื่อนไหว ของกองกำลังทหารไทยอย่างใกล้ชิดและรายงานสถานการณ์ให้ทราบทุกครึ่งชั่วโมง เนื่องจากไม่ไว้วางใจว่า จะเป็นการซ้อมรบตามที่กล่าวอ้าง กัมพูชาจึงได้ส่งรถถังหลักรุ่นไทป์ 59 ติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ผลิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน เคลื่อนจากศูนย์ฝึกรถถัง จ.กัมปงชนัง มาเสริมทัพรถถังหลักรุ่นที 55 ที่มาประจำการก่อนหน้านี้แล้ว พร้อมเสริมเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง รุ่นพีเอฟ 89 ขนาด 80 มม. ให้กับหน่วยเผชิญหน้าแทนอาร์พีจี 7 ด้วย โดยมีภารกิจหลักคือ ป้องกันมิให้ทหารไทย บุกเข้ามาถอนธงชาติกัมพูชา ที่ปักอยู่เหนือซุ้มประตูวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ

ส่วนแหล่งข่าวทหารไทย กล่าวว่า กัมพูชาส่งรถถังรุ่นใหม่มาประชิด ก็เพื่อเตรียมพร้อมป้องกันตนเอง เพราะสถานการณ์ในพื้นที่ค่อนข้างคุกรุ่น ต่างฝ่ายต่างระแวงซึ่งกันและกัน ผู้บัญชาการหน่วยทหารในพื้นที่ ก็ยังเจรจากันไม่ลงตัว เนื่องจากไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ต่างต้องรอดูท่าทีรัฐบาล กลายเป็นว่า ตรึง-รุก-ถอย-ซ้อม อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ขอยืนยันว่ากำลังพลในพื้นที่ ไม่ได้รับคำสั่งให้บุกเข้าไปยึดวัดแก้วฯ หรือถอนธงชาติกัมพูชาแน่นอน ถือเป็นเรื่องปกติที่กองกำลังทหารอยู่ที่ใด ก็จะมีธงชาติอยู่ที่นั่น หากกองกำลังทหารไทยไปที่วัดแก้วฯ ก็จะนำธงชาติไทยไปด้วยเช่นกัน แต่เราคงไม่ปักคู่ธงชาติกัมพูชา เพราะจะกลายเป็นว่าท้าทายกัน ส่งผลให้เกิดการปะทะตามมาได้ง่ายๆ สรุปก็คือทั้งทหารไทยและเขมร ไม่มีใครอยากรบ มันหมายถึงความสูญเสีย ทหารพลีชีพมา ใครรับผิดชอบ ชาวบ้านก็เดือดร้อน

ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมคณะกรรมาธิการความร่วมมือทวิภาคี (เจซี)ไทย-กัมพูชา ร่วมกับนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ ได้หารือแบบสองต่อสองนานประมาณ 20 นาที

จากนั้นนายฮอร์ นัม ฮง ได้กล่าวเปิดประชุมเจซีไทย-กัมพูชา ว่า ขอแสดงความยินดีที่สังเกตเห็นว่า 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น หลังมีการพบปะกันหลายครั้ง รวมทั้งมีกิจกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนทั่วไทย (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่เมืองพัทยา การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างรัฐมนตรีและสื่อมวลชน การฉลองครบ 60 ปีความสัมพันธ์ 2 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกเลิกการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาที่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศเดินทางไปมาหาสู่และทำมาค้าขายระหว่างกันมากขึ้น ขณะที่เอกสารผลการประชุมเจซีจะเป็นแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติใช้ เพื่อที่จะทำให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศดีขึ้น

"เป็นเรื่องปกติที่ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันก็ต้องมีปัญหาคั่งค้าง ซึ่งเราต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขต่อไป" นายฮอร์ นัม ฮง กล่าว

ขณะที่นายกษิต กล่าวว่า สังคมไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ข้องแวะกันมานานหลายร้อยปี เรามีความเหมือนมากกว่าความต่างซึ่งสามารถนับเป็นต้นทุนร่วมกัน รัฐบาลและประชาชนควรส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประเทศที่ติดกันตัดขาดกันไม่ได้ ปัญหากระทบกระทั่ง ความเข้าใจผิด และมุมมองที่ต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความเหมือนในอดีตและอนาคตที่ดีร่วมกันมีอีกมากมาย เราต้องไม่ให้ปัญหาเป็นปัญหาต่อเนื่องและขยายเป็นปัญหาต่อๆไป แต่ต้องมุ่งแก้ปัญหาควบคู่ไปกับการร่วมมือเพื่อความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ

"แม้จะมีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2553 แต่ไทย-กัมพูชาก็สามารถประชุมเจซีร่วมกันได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของ 2 ประเทศที่จะร่วมกันส่งเสริม และกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าแน่นแฟ้นและแสดงให้โลกเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศยังคำนึงถึงภาพใหญ่ มีความสุขุม มีสติที่จะฟันฝ่ากระแส และกระทำในสิ่งที่ควรทำ เราต้องมองข้ามความขัดแย้งที่เกิดจากปมปัญหาในอดีต และต้องไม่ให้อดีตมาเป็นอุปสรรคต่ออนาคต" นายกษิต กล่าว

ต่อมานายกษิต ได้เปิดเผยอีกครั้งหลังการประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง ว่า การประชุมทั้งในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรี เป็นไปด้วยความราบรื่น มีบรรยากาศที่อบอุ่นและสร้างสรรค์ โดยพูดคุยกันถึงความร่วมมือที่ค่อนข้างสมบูรณ์และรอบด้าน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้กระชับยิ่งขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนและประชาชนโดยรวม สำหรับการหารือกับนายฮอร์ นัม ฮง นั้น ได้พูดถึงภาพรวมของความสัมพันธ์ว่าจะขับเคลื่อนไปอย่างไร รวมถึงการที่จะให้ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนไปได้ เพราะมีเรื่องที่ 2 ฝ่ายสามารถทำร่วมกันได้ในระหว่างที่รอรัฐสภาพิจารณาบันทึกการเจบีซีฯ ทั้ง 3 ฉบับ

นอกจากนี้ยังคุยถึงเรื่องที่ 2 ฝ่ายจะพยายามในการสร้างความสงบตลอดแนวชายแดน ทั้งการให้ข่าวสารข้อมูล การดูแลรักษาความปลอดภัย และการพยายามหลีกเลี่ยงการดำเนินการสิ่งที่จะสร้างความขัดแย้ง ซึ่งตนได้ขอบคุณที่นายนัม ฮง ที่ช่วยประสานให้ตนได้เข้าเยี่ยมนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ รวมถึงยังได้ขอให้กัมพูชาเร่งดำเนินการด้านต่าง ๆ และการพิจารณาให้ทั้ง 2 คนกลับไทยได้ โดยดูว่ากระบวนการยุติธรรมจบตรงไหน และฝ่ายบริหารจะเข้ามาต่อได้อย่างไร เพราะไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องคาใจหรือก่อให้เกิดแรงกดดันที่จะทำให้มีผลกระทบกับความร่วมมือ 2 ฝ่าย ซึ่งตนคิดว่านายนัม ฮง น่าจะเข้าใจประเด็นของความเป็นไปในการเมืองภายในของไทยที่เกี่ยวกับนายวีระ และรู้ว่าเราจะต้องร่วมมือกันในการบรรเทาประเด็นปัญหา เพื่อให้ความสัมพันธ์ในภาพรวมมีความคืบหน้า เพราะมีสิ่งที่เราต้องทำร่วมกันอีกมาก

เมื่อถามว่า ได้คุยเรื่องปัญหาบริเวณปราสาทพระวิหาร การปลดธง และเรื่องวัดแก้วสิขาคีรีสะวาระหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ได้พูดกันหมดแล้วว่าเรื่องอย่างนี้สร้างความร้อนแรง และไม่ได้มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้โกรธกัน อะไรที่เลิกรากันได้ก็ทำกันไป และเมื่อพูดคุยกันแล้วตกลงกันในหลักการว่าจะไม่สร้างความหวั่นไหว โต้ตอบกันไปมา หลีกเลี่ยงการกระทำอะไรที่จะเป็นการปลุกระดม ปลุกเร้า สร้างความเข้าใจผิดหรือสร้างความตึงเครียดทั้ง 2 ฝ่ายต้องพยายามบอกคนในประเทศตัวเองว่าให้บรรเทากันไว้ ซึ่งตนบอกนายนัม ฮง ว่าถ้ามีอะไรก็ให้โทรศัพท์หากันโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ลุกลาม

เมื่อถามถึงการที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นเส้นตายให้นำตัวนายวีระ และน.ส.ราตรี กลับไทยภายในวันที่ 5 ก.พ.นี้ โดยไม่มีคดีติดตัว นายกษิต กล่าวว่า คนพูดมันก็พูดง่าย แต่ต้องดูเหตุและที่มาที่ไปเสียก่อน รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลือทุกอย่างอย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การนำตัวคนทั้งสองกลับมาก็อยู่ที่ทั้งสองด้วยว่าจะเอาอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาตอบรับในหลักการที่จะให้ไทยนำเอาสระตราวและโบราณสถานโดยรอบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกและบริหารจัดการร่วมกับฝ่ายไทย นายกษิต กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ประเด็นเหล่านี้มีคณะกรรมการระดับชาติที่ดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญคือเรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบจะว่ากันฝ่ายเดียวไม่ได้

ด้านนายนัม ฮง กล่าวว่า การประชุมมีการสานต่อปัญหาหลายเรื่องที่สำคัญคือหารือเรื่องการค้ามนุษย์ที่คนกัมพูชาถูกหลอกลวงเข้าไปค้าแรงงานในไทยและถูกจับกุม ซึ่งอยากให้ฝ่ายไทยช่วยดูแลโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน ถ้าคนกัมพูชาทำผิดก็สามารถจับกุมได้แต่อย่าใช้วิธีรุนแรงเช่นถูกยิงแต่ให้ดำเนินการการไปตามกฎหมาย การทำเอ็มโอยูเรื่องราคาสินค้าเกษตร นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงการเปิดด่านใหม่นอกเหนือจากที่มีอยู่เพื่อเป็นช่องทางให้คนสองประเทศไปมาหาสู่กันได้สะดวกมากขึ้น

นายนัม ฮง กล่าวอีกว่า ในส่วนปัญหาชายแดน นายกษิต ได้แจ้งว่าจะมีการดำเนินการเรื่องเจบีซีให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอให้เอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับ ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อน เพราะมีสิ่งที่สามารถทำได้ก่อนคือ การทำภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อหาหลักเขตทั้งหมด ควบคู่กับการให้ผู้เชี่ยวชาญลงตรวจสอบพื้นที่ทางบก ซึ่งขณะนี้มีหลักหมุดที่หาเจอแล้ว 33 หลักเขต ที่ยังถกเถียง 15 หลัก และหาไม่เจอ 25 หลัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดน ทั้งนี้ตนเห็นว่าการประชุมเจบีซีเร็วขึ้นจะได้ช่วยลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามแนวชายแดนเกิดความตึงเครียดเพราะมีการเสริมกำลังทหาร นายนัม ฮง กล่าวว่า ไม่มีความตึงเครียดเลย สถานการณ์ก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ที่ผ่านมา ฝ่ายไทยนำอาวุธมาฝึกตามแนวชายแดน กัมพูชาจึงต้องนำอาวุธไปฝึกตามแนวชายแดนเหมือนกัน เราก็ต้องเตรียมตัวไว่ก่อน แต่ตนเชื่อมั่นว่าในเวลานี้จะไม่มีการปะทะกันตามแนวชายแดน

เมื่อถามว่า ได้มีการพูดถึงเรื่องวัดแก้วฯ และข้อเรียกร้องให้ปลดธงชาติกัมพูชา หรือไม่ นายนัม ฮง กล่าวว่า วัดแก้วฯ อยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา ส่วนเรื่องจะย้ายธงไปตรงไหนนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะที่นั่นคือดินแดนของเรา

ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00น. เกิดเหตุทหารไทยยิงปะทะกับทหารกัมพูชา บริเวณบ้านภูซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยเบื้องต้นทราบว่าขณะทหารไทยยกกำลังประชิดวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทหารกัมพูชาจึงเปิดฉายยิงเข้าใส่กลุ่มทหารไทยทันที จนเกิดการปะทะกันขึ้น เบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็หลังทั้ง 2ฝ่ายปะทะกัยนานกว่า 10 นาทีได้เกิดควันไฟพวยพุ่งขึ้นบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร

พล.ท.ธวัชชัย สุมทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ทหารเขมรได้เปิดฉายยิงทหารไทยก่อนโดยมีลูกกระสุนปืนใหญ่มาตกในฝั่งไทยกว่า 10 ลูก อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้อพยพชาวบ้านในจุดเกิดเหตุไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว

ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้วว่ามีกระสุนปีนใหญ่ของกัมพูชามาตกใกล้ฐานทหารไทย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการยิงเตือนกลับไป และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. อยู่ระหว่างเจรจากับนายทหารระดับสูงของกัมพูชา

ด้านสำนักข่าวเอเอฟฟีรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่า ทหารไทย กับทหารกัมพูชาได้เกิดการปะทกันขึ้นใกล้กับปราสาทพระวิหาร โดยนายเขียว หันหะริธ โฆษกรัฐบาลกัมพูชา แถลงว่า มีการปะทะกันจริง.

ที่มา : คลิปวีดีโอจากช่อง 3 ,เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผลสำรวจวีซ่าพบคนไทยชอปปิงออนไลน์มากขึ้น

ตลาดสินค้าออนไลน์ของไทยเติบโต คนไทยซื้อของผ่านระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้น ตั๋วเครื่องบินและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

การสำรวจทำโดยการสอบถามผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นประจำจำนวน 3,156 คน ในตลาด อี-คอมเมิร์ซ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว 6 แห่ง ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไต้หวัน และประเทศไทย เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ พบว่า ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ในประเทศไทย ใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 1,763 ดอลลาร์สหรัฐ ใน 12 เดือนที่ผ่านมาโดยกลุ่มสินค้าที่มีการใช้จ่ายออนไลน์มากที่สุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทย ได้แก่ การซื้อ-ขายหุ้น ตั๋วโดยสารเครื่องบิน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

สำหรับเว็บไซต์ที่เข้าไปดูบ่อยที่สุด ได้แก่ เครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network) เว็บไซต์ดาวน์โหลดเพลง หนังสือ และเว็บไซต์อุปกรณ์คอมพิวเตอร์

นายสมบูรณ์ ครบธีรนนท์ ผู้จัดการบริษัท วีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การจองตั๋วเครื่องบินโดยสาร การซื้อบริการด้านการเงิน หรือการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์กำลังเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยจะกลายเป็นการใช้จ่ายปกติเช่นเดียวกับการไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เกต ผู้บริโภคส่วนมากที่ใช้จ่ายทางออนไลน์รู้สึกสะดวกกว่าที่จะซื้อของทางอินเทอร์เน็ตเมื่อเปรียบเทียบกับการไปที่ร้านค้า เพราะสามารถเปรียบเทียบราคาได้ง่ายและซื้อได้สะดวกสบายจากบ้าน

จากข้อมูลการสำรวจของวีซ่า ยังพบว่า สิ่งจูงใจหลักในการใช้จ่ายออนไลน์คือ ความสะดวกสบาย ค้นหาส่วนลดได้ง่าย สามารถซื้อได้ตลอดเวลา ค้นหาและเปรียบเทียบสินค้าได้ง่าย.
ที่มา เดลินิวส์